วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คิดถึงฮุสนา

วันนี้ขอบรรยายความคิดถึงหลานรักสะหน่อยเหอๆๆ (จะโดนหาว่านินทามุสลิมมะ หรือเอาความน่ารักมาเปิดเผยหรือเปล่าหนา)
ฮุสนา เรารู้จักกันได้ประมาณ ปีกว่าเกือบสองปีไม่ทราบแน่ชัด เพราะบังเอิญ มะของฮุสนาเปิด มูอัลลัฟเซ็นเตอร์ มีการนัดบอดเจอกัน โดยการคุยผ่านอินเตอร์เน็ต เรานัดเจอกันครั้งแรกๆที่ สันติชน หรือเปล่านะพี่นี ตอนนั้น ฮุสนายังไม่ขวบเลย น้ำหนักไม่เกิน สอบฟันมีสองสามซี่ กำลังน่ารัก ตัวนิ่มๆ เดินยังไม่ได้เหอๆๆ เสร็จเราอุ้มไปโน้นมานี้สบายเพราะว่าไม่หนักสะด้วย มาชาอัลลอฮ์ ฮุสนาผิวออกเขียวๆ ตามคำบอกเล่าของเยาะของฮุสนา แต่ว่าน้านัทว่าฮุสนาผิวสวยออกดำนิดแต่ดำหวาน (ยืมเขามาไม่รู้เหมือนกันดำหนานเป็นไง) เอาเป็นว่าสวยและน่ารักเสมอละกันนะ เท่าที่จำได้ฮุสนาไม่ค่อยร้อง เจอที่ไรยิ้มไม่มีฟันมาก่อนทุกที่หลอกก็ง่าย ไม่ค่อยติดแม่เท่าที่ควรอิอิ
ตอนนี้ฮุสนามีน้องใหม่ชื่อนู่ฮา น่ารักพอกัน แต่ดูท่าทางจะอ้วมอรทัยเพราะพี่สาวเธอช่างโหดเหลือเกิน แต่เข้าใจฮุสนาเลยเพราะเราก็มีน้องสาว ตอนเด็กๆ ชอบคิดว่าน้องสาวเราๆต้องปกป้อง บ้างที่จะอุ้มก็เหมือนจะรัดคอน้องให้ตายไปในสายตาของผู้ใหญ่เหอๆๆ สู้ ฮุสนา แต่เชื่อว่า นู่ฮาโตมาจะมีความอดทนสูงมากอิอิ

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วันหนาวที่ลอนเชสตัน

และแล้วหน้าหนาวที่แสนสาหัสก็มาถึงเร็วกว่าปีก่อนๆ แต่ก็ไม่แปลกอะไรเพราะทาสมาเนีย หน้าร้อนก็ยังต้องใส่เสื้อหนาวอิอิ หนาวทั้งปีแบบนี้ถูกใจข้าพเจ้าจริงๆ อิอิ
ว่าแล้วก็ต้องรอรับบิลค่าไฟ มหาโหดสะหน่อย ตอนนี้กิจกรรมหลายๆ อย่างต้องปรับเปลี่ยนวิธีการ เช่น
ซักผ้าเช้าตากจนบ่าย ก็ต้องย้ายกะ มาเป็นซักตอนหัวค่ำตากในห้องจนถึงเช้าแล้วรีบเก็บเข้าตู้ เพราะว่าต้องใช้พลังฮีดเตอร์ช่วยทำให้ผ้าแห้งสะแล้ว
จากแต่ก่อนที่ไปโรงเรียนตอนฟ้าสว่างกลับก็ยังสว่าง ตอนนี้ เช้าไปโรงเรียนก็เหมือนจะมืด ตอนเดินกลับก็มืด เพราะว่ามันสว่างช้าและมืดเร็วกว่าเดิมนั้นเอง
การถือบวชแต่ก่อนเคยบวชนานสุดๆ 18.30 ชม. ตอนนี้ อัลลอฮ์ลดเวลาลงเหลือแค่ 11-12 ชม. มาชาอัลลอฮ์
จากแต่ก่อนที่มีใจอยากจะออกไปโน้นมานี้เพราะเวลาละหมาดช่างห่างไกล ตอนนี้ เวลาละหมาดติดกันแค่วิ่งรอบสนามสามรอบ ไม่อยากไปไหนเลย ก็ดีประหยัดตังค์ในกระเป๋า
เวลาละหมาดศุบห จากแต่ก่อน ตีสามกว่า ฟายัจ ตอนนี้ ฟายัจ ก็หกโมงเช้าโน้น แต่ก่อนพระอาทิคย์ขึ้น ตีสี่เกือบตีห้า มาเป็นเจ็ดโมงเกือบจะแปดแล้ว
เหอๆๆ วันเวลาเปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยน ใจเราก็เปลี่ยน แต่ขอดุอาห์อย่าให้ความศรัทธาของเราเปลี่ยนเลย อามีน

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ความรัก

คำว่ารักนั้น เป็นคำที่เราได้ยินบ่อยๆ แต่ถามว่าใครเข้าใจความรู้สึกว่ารักดีพอที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้บ้างว่า รักและความรักแปลว่าอะไร
ส่วนตัวก็อธิบายไม่ได้ว่าอะไรเรียกว่ารัก บ้างที่สิ่งที่ตอนแรกคิดว่านี้แหละความรัก ก็กลายเป็นคำว่าชอบ หรือแค่ชื่นชมเมื่อเวลาเปลี่ยนไปสักระยะ
แต่เมื่อเร็วๆนี้ คิดว่าพอจะรู้ละว่า สิ่งที่เรียกว่ารักหน้าตาประมาณไหน
ความรักที่ว่าเป็นความรักที่อัลลอฮ์ให้กับเราทุกคน สิ่งที่รู้สึกกับตัวเองคือ ตอนมาเป็นมุสลิมใหม่ รู้สึกเหมือนเป็นคนโปรดของอัลลอฮ์พอควรเพราะด่านและอุปสรรคที่โถมเข้ามาเนื่องจากการประกาศว่าฉันเป็นมุสลิมนั้นช่างมากมายแต่ก็สามารถผ่านพ้นไปได้เพียงแค่การขอดุอาห์ต่ออัลลอฮ์ ตาคู่นี้ร้องไห้มามากมายเหลือเกินแต่อัลฮัมดุลิละห์ทุกอย่างก็ผ่านมาได้ทุกวันและทุกวัน
และแล้วก็มาถึงช่วงที่ปัญหาก็ยังเข้ามาอยู่ตลอดแต่บ้างครั้งสิ่งที่ขอตอนสญูดก็เป็นตามที่ขอบ้างเป็นไปอีกทางบ้างเคยคิดว่า สิ่งที่ขอแล้วไม่ได้คือสิ่งที่เลวร้ายสำหรับเรา แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปก็พบว่า ภายในสิ่งที่เรามองว่ามันเลวร้ายสำหรับเราก็มีส่วนดีที่เราคิดไม่ถึงอยู่อย่างมากมาย และหลายๆ อย่างได้เปลี่ยนความคิดว่า ดีเหมือนกันที่วันนั้นไม่เป็นอย่างที่ขอสะอย่างนั้น มนุษย์นี้จิตใจช่างกลับไปกลับมาได้ง่ายเหลือเกิน เหนื่อยกันบ้างมั๊ย
ที่นี้ลองกลับมาที่คำว่ารักของอัลลอฮ์ โดยส่วนตัวเป็นคนรักและไว้ใจคนค่อนข้างง่าย เป็นจุดอ่อนในการคบเพื่อนอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเป็นลูกคนกลาง เหมือนจะมีความสามารถพิเศษจะรับรู้ว่าคนนี้รัก หรือคนนี้ไม่รัก และคำจำกัดความของคำว่ารักที่ออกจะแปลกไปสักหน่อยแต่มันก็ใช้การได้เสมอกับตัวเอง แต่ความรักของเรานั้นมีข้อจำกัด เมื่อไรก็ตามที่เราไม่ได้รับความรักตอบความรักก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นทันที่ ร้ายที่สุดคือเปลี่ยนจากริมขวา คือความรัก ไปเป็นริมซ้ายจัดคือความเกลียดก็มีหลายเหตุการณ์
เมื่อเร็วๆนี้ รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของความสุขสงบในใจ แต่ก่อนเคยขอดุอาห์ว่าขอให้อัลลอฮ์ช่วยบังคับจิตใจของเราให้มั่นคงในศาสนาของพระองค์ขอให้เราหนักแน่นและต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง จากวันนั้น เหมือนหัวใจมีเกราะเหล็กหรือมีอะไรสักอย่างโอบกอดมันไว้รุ้สึกมั่นใจและไม่ค่อยเศร้าเท่าไร แต่ เมื่อเร็วๆนี้ เหมือนเกราะอันนั้นหายไป หัวใจดวงนี้ดูอ่อนไหวและหวาดกลัวกับสิ่งที่จะต้องเจอในวันรุ่งขึ้นไปสะอย่างนั้น เสียใจและร้องไห้
โทรไปปรึกษาเชคริฏอทางโทรศัพท์ เชคบอกว่าความรู้สึกนี้เกิดได้กับทุกๆ คน โดยเฉพาะเมื่อเราได้ผ่านช่วงที่เรียกกว่าการต่อสู้ที่เราต้องฝ่าฟันอุปสรรคอะไรสักอย่างโดยเราลืมทบทวนจิตใจของเราแต่ด้วยความที่เรากำลังสู้ เรื่องบางอย่างเราก็ละเลยไป พอเริ่มมีเวลามากขึ้นก็ได้เวลาแล้วที่เราจะต้องมานั่งทบทวนจิตใจของเราว่าเรามีมั่นคงในจิตใจของเราแค่ไหน จากสิ่งที่ได้คุยกัน กลับมานั่งทบทวนแล้วก็พอว่า เรารักอัลลอฮ์น้อยไปหรือเปล่า เราอ่อนแอในอีหม่านของเราเพราะใจของเราหรือไม่ คืนนั้นลุกขึ้นละหมาดแล้วอยู่ดีๆก็คิดว่าจริงๆ เราไม่มีใครเลยนิหว่า ใครกันนะที่รักเรา แล้วก็ร้องไห้ ในหัวมีคำตอบเข้ามาว่า อย่างน้อยก็มีอัลลอฮ์รักเรามาตลอดไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือก่อนหน้านั้น แล้วเราละรักอัลลอฮ์ได้เพียงเศษเสี้ยวของความรักที่ได้รับจากอัลลอฮ์หรือไม่ เมื่อความคิดนี้ปรากฏในหัวของเราแล้วพอก้มสญูดเท่านั้น ที่หัวใจของเราก็เหมือนมีเกราะมาหุ้มมันอีกครั้ง รู้สึกมั่นใจว่าจิตใจของเราจะไม่หวั่นไหวหากเพียงแต่เราเชื่อว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ตาม เชื่อเทิดว่าสิ่งนั้นมาจากอัลลอฮ์ที่รักเราที่สุด และคนรักกันจะไม่มีวันทำร้ายกันเด็ดขาด หวังความโปรดปรานจากอัลลอฮ์ทั้งในดุนยานี้และในอาคีรัต
ความรักของอัลลอฮ์นั้นช่างมหาศาลอธิบายความกว้างขวางไม่ได้ และหาอะไรมาเปรียบก็ไม่ได้อีกเช่นกัน ความรักนี้ไม่มีข้อแม้ และไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ช่างอิคคลาสและงดงามจริงๆ อัลฮัมดุลิละฮ์

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ชะอบาน แล้ว รอมฏอน

ชะบาน กำลังมา ทำอะไรดีเพื่อรับชะอบานและเตรียมตัวต้อนรับรอมฏอนกันเถอะพี่น้อง
1. ถามตัวเอง ชดใช้ของปีก่อนหมดหรือยังเอย
2. สุนนะในเดือนชะอบาน
ท่านนบีกล่าวว่า คนมักจะหลงลืมเดือน ระหว่างเดือนรอยยับกับเดือนรอมฏอน เดือนนั้นคือเดือนชะอบาน
สมัยญาฮิริยะ มีการเชือดเพื่อการฉลองในเดือนรอยยับ สมัยอาหรับโบราณจะถือว่า เดือนรอยยับเป็นเดือนสำคัญ
สมัยอิสลามท่านนบีได้ฟื้นฟูความสำคัญของเดือนชะอบาน
บรรดาการกระทำจะถูกนำไปเสนอแก่อัลลอฮ์ ท่านนบีกล่าวว่าท่านชอบอามัลของท่านถูกนำเสนอแก่อัลลอฮ์ [1]ระหว่างทีท่านกำลังถือศีลอด
ในเดือนชะอบานสนับสนุนให้มีการทบทวนการทำอิบาดะห์ต่างๆ และทำการปรับปรุงในปีต่อไป
ท่านนบีสร้างบรรยากาศในเดือนชะอบานเพื่อต้อนรับรอมฏอน ท่านนบีถือบวชส่วนมาของเดือนชะอบาน แต่ไม่เต็มเดือน เพราะมีฮาดีษระบุว่าท่านนบีไม่เคยถือศีลอดครบเดือนในเดือนใดยกเว้นเดือนรอมฏอน
สำหรับเดือนชะอบานจะมีเดือนหนึ่งที่มีความประเสริฐคือคืนที่ 15 มีฮาดีษรายงานโดยท่านมูอาด กล่าวว่า อัลลออ์จะมองจะเห็นจะเฝ้าดูบ่าวของพระองค์ในค่ำคืนกลางเดือนชะอบาน และในขณะนั้น อัลลอฮ์จะทรงให้อภัยโทษแก่บ่าวทั้งวหมดยกเว้นพวกที่ทำชิริก หรือพวกที่โกธรพี่น้องของเขาโดยไร้เหตุผล
การถือสุนนะเดือนชะอบานถือได้ตลอดเดือน แต่ให้ยกเว้นก่อนรอมฏอน 2 -3 วัน ก่อนรอมฏอนเท่านั้น โดยเฉพาะวันที่ 29 และ 30 เดือนชะอบาน เพราะอาจจะเข้าเดือนรอมฏอนก็ได้ ยกเว้นตรงกับการถือศีลอดประจำ เช่น จันทร์ พฤหัส หรือ วันเว้นวัน ก็สามารถจะถือได้ แต่ ถ้าไมบวชอย่างสม่ำเสมอเป็นข้อห้ามนะ
[1] ช่วงเวลาที่การงานของมุมินถูกนำเสนอแก่อัลลอฮ์ ได้แก่
1. ช่วงเวลาที่บรรดาผุ้ศรัทธา รวมตัวกัน ศึกษาศาสนา การรำลึกถึงอัลลอฮ์และการสรรเสริญอัลลอฮ์ จะ เป็นช่วงเวลาที่อามัลถูกนำเสนอแก่อัลลอฮ์เช่นเดียวกัน โดยบรรดามลัยกะที่แสวงหาพบเจอการรวมตัวของบุคคลกลุ่มดังกล่าวก็จะนำอามัลนั้นไปนำเสนอแก่อัลลอฮ์ เพื่อเป็นการแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของผุ้ศรัทธา ขอดุอาห์ให้ได้สวรรค์และขอความคุ้มครองจากนรก
2. มีการนำเสนอทุกสัปดาห์ในวันจันทร์และวันพฤหัส จึงเป็นวันที่ท่านนบีถือสุนนะเป็นประจำ
3. เดือนชะอบานจะเป็นการนำเสนออามัลประจำปี ของแต่ละคน
4. วันกียามัต จะมีการนำเสนอแบบสมบูรณ์ โดยไม่มีอะไรปกปิด
-------------
[1] ช่วงเวลาที่การงานของมุมินถูกนำเสนอแก่อัลลอฮ์ ได้แก่
1. ช่วงเวลาที่บรรดาผุ้ศรัทธา รวมตัวกัน ศึกษาศาสนา การรำลึกถึงอัลลอฮ์และการสรรเสริญอัลลอฮ์ จะ เป็นช่วงเวลาที่อามัลถูกนำเสนอแก่อัลลอฮ์เช่นเดียวกัน โดยบรรดามลัยกะที่แสวงหาพบเจอการรวมตัวของบุคคลกลุ่มดังกล่าวก็จะนำอามัลนั้นไปนำเสนอแก่อัลลอฮ์ เพื่อเป็นการแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของผุ้ศรัทธา ขอดุอาห์ให้ได้สวรรค์และขอความคุ้มครองจากนรก
2. มีการนำเสนอทุกสัปดาห์ในวันจันทร์และวันพฤหัส จึงเป็นวันที่ท่านนบีถือสุนนะเป็นประจำ
3. เดือนชะอบานจะเป็นการนำเสนออามัลประจำปี ของแต่ละคน
4. วันกียามัต จะมีการนำเสนอแบบสมบูรณ์ โดยไม่มีอะไรปกปิด

รับน้องใหม่

เมื่อเด็กมัธยมเก็บกระเป๋านักเรียน โอนสัมมะโนครัวจากโรงเรียนเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัย จากมุมมองของคนที่เคยเป็นคนถูกรับน้อง เป็นคนรับน้องใหม่และเป็นอาจารย์ควบคุมการรับน้องใหม่
จากมุมของคนที่เคยเป็นคนถูกรับน้อง วันแรกๆในรั่วมหาวิทยาลัยในฐานะที่ไม่ได้เป็นมุสลิมในตอนนั้น การคลุกคลีกับเพื่อนต่างเพศและกิจกรรมติ๊งต๊องทั้งหลายดูจะเป็นการเล่นสนุกสนานไปวันในตอนนั้น การพบกับเพื่อนรวมรุ่นและรุ่นพี่นั้น แต่ละมหาวิทยาลัยออกจะต่างกันออกไป อย่างจุฬา เกษตร มศว ดูจะเป็นระบบพี่เก่า รับน้องใหม่ น้องใหม่ดูตัวเล็กสะจริงพี่บอกซ้ายก็ต้องซ้าย ขวาก็ต้องขวา แต่ อย่าง มธ. ที่เป็นประสบการณ์ตรง มีแต่เพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์อาจจะดูง่ายและการปฏิเสธที่จะไม่รวมก็ดูจะง่ายกว่าเพราะเราเป็นเพื่อนกันไง เพื่อนมักจะบังคับเพื่อนไม่ได้ แต่ด้วยความที่เด็กกว่า อ่อนประสบการณ์ในมหาวิทยาลัยมากกว่า ก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังในเรื่องบ้างเรื่องและโต้แย้งในบ้างเรื่อง
ในบางสถาบันเช่น มธ. การพบเพื่อนใหม่ และรุ่นพี่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการลงทะเบียนเรียนการเลือกวิชาเรียนและขั้นตอนต่างๆนั้น มหาวิทยาลัยได้ทำการมอบหมายให้รุ่นพี่ช่วยจัดการ เช่นพาน้องไปลงทะเบียนตามวันและเวลาที่กำหนด
เพราะฉะนั้นหากจะบอกว่าฉันเป็นมุสลิมก็ต้องดูสักนิดว่ากิจกรรมไหนที่เราควรจะเข้ารวมและอะไรที่เราควรจะหลีกเลี่ยงดีกว่าจะฟันธงว่ามุสลิมกับการรับน้องเป็นสิ่งต้องห้ามเอาสะเลย
กิจกรรมตอนรับน้องปีหนึ่ง มีตั้งแต่ ร้องเพลงเชียร์ ร้องเพลงมหาวิทยาลัย แข่งกีฬาระหว่างกลุ่ม และ การทำงานรวมกันของเพื่อนในกลุ่ม เพราะคนกลุ่มนี้แหละที่เราจะเจอในห้องเรียนไปตลอดชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัย
ถามว่ามีประโยชน์มั๊ย ก็ได้รุ้จักเพื่อนรวมรุ่น ซึ่งต้องพึ่งพาทำงานกลุ่มด้วยกัน เดินไปเรียนด้วยกัน ยืมสนุดโน๊ตมาจดบ้างยามขาดเรียนและอะไรอีกหลายอย่าง
ถามว่าเลอะเทอะมั๊ยก็ต้องตอบตรงว่า มันปะปนกิจกรรมบ้างอย่างก็ไร้สาระ เช่นการเต้นบ้าๆบอๆๆ แต่มันก็เป็นส่วนน้อยไม่ใช่ทั้งหมดของกิจกรรม
พอโตขึ้นมาจนต้องไปรับน้องใหม่ ก็เคยมีความคิดว่า มันเป็นรุ่นต่อรุ่น เราจะกบฏ ยกเลิกรับน้องดีมั๊ยหนอ โดนพี่ๆ กดดันห้ามเลิกอะไรประมาณนั้น ก็เลยจำใจต้องทำต่อจากเขาก็ได้ แต่ก็อย่างที่บอกน้องๆ บ้างคนก็มานั่งดูบอกว่าไม่เล่นด้วย เราก็เข้าใจไม่เล่นก็ไม่เล่น นั่งดูละกัน เขาทำอะไรเป็นสาระจะเข้ามาร่วมด้วยก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
การรับน้องดูออกจะโหดร้ายตามหน้าหนังสือพิมพ์เพราะรุ่นพี่ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีทำอะไรคิดแต่ตัวเองสะใจและสนุกโดยลืมความปลอดภัยและอะไรหลายๆ อย่างถึงได้เกิดเรื่องให้เห็นอยู่ทุกๆปี แต่ก็อีกนั้นแหละน้องๆ มันคิดว่าพี่เป็นอะไร เชื่อพ่อกับแม่เหมือนเชื่อรุ่นพี่หรือเปล่าอันนี้น่าสงสัยจริงๆ
พอโตขึ้นมา ต้องมาเป็นคนกำกับดูแลความเรียบร้อยของรุ่นพี่ที่จะรับน้องใหม่ อันนี้เป็นหน้าที่ๆปวดหัวที่สุดเพราะ ความไม่โตและคิดโง่ๆ ของรุ่นพี่ ซึ่งแม้มันจะคิดว่ามันโตแล้ว การกระทำก็ส่อความซื่อบื้อออกมาให้เห็นบ่อยครั้ง หลายครั้งที่ปิดห้องเชียร์ด้วยอำนาจที่มีเพราะ ไม่เห็นด้วย งี่เง่า พี่ๆ ก็จ๋อยกันไปพักหนึ่ง มาบอกจารย์คับรับรองจะไม่เกิดขึ้นอีกอะไรแบบนี้
ข้อคิดฝากน้องใหม่ จำไว้ว่า มหาวิทยาลัยเป็นของทุกคน และนักเรียนทุกคนก็คือลูกค้าของมหาวิทยาลัย การเป็นลูกค้าใหม่ไม่ได้ทำให้สิทธิของความเป็นมนุษย์และลูกค้าหายไป ตัวเองยังมีสิทธิที่จะไม่เข้าร่วมในกิจกรรมบ้างอย่างที่คิดว่าไม่เหมาะสมและกิจกรรมใดที่ถือว่าเป็นประโยชน์ เช่นการรู้จักเพื่อนการจัดตารางสอน อะไรแบบนี้ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ควรจะเข้ารวมเพราะไม่เกี่ยวกับศาสนาและการปะปนนั้น เชื่อว่าถ้าเราไม่เลือกจะเข้าไปอยู่ในระบบการศึกษาแบบสหศึกษาแล้วการปะปนเป็นิส่งที่เลี่ยงไม่ได้แต่ เราเลือกที่จะวางตัวและสำรวมตนได้นะคะ

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เมื่อไรควรจะแลก และเมื่อไรควรจะถอย

ประสบการณ์เล่นบาสมาหลายปีอยู่ อยุ่ในแวดวงการศึกษามาระยะหนึ่ง และประสบการณ์การใช้ชีวิตทั้งเป็นมุสลิมและเป็นคนพุทธ
ทำให้ตัวเองมีประสบการณ์ไรหลายๆ อย่างที่บางคนอาจจะมีโอกาสได้มี ประสบการณ์ที่ว่าช่วยให้เราพิจารณาได้ว่า เมื่อไรควรจะแลกและเมื่อไรควรจะถอย
การโต้แย้งบ้างเรื่องกับคนบ้างคนนั้น ส่วนตัวคิดว่ไม่น่าเสียเวลาไปแลกด้วย เพราะอีกฝ่ายอาจจะเรียนมาน้อย สมองพัฒนาและรับรู้มาได้แค่นั้น ถึงจุดนี้ การยุติการสนทนาหรือการติดต่อน่าจะเป็นการดี เพราะรั้งแต่จะเสียเวลาและอารมณ์ของเราเอง หลายๆ ครั้งน้องๆมาบ่น ไอ้เวปโน้นโจมตีอาจารย์คนนั้นคนนี้ ได้แต่เตือนน้องไปว่า หนูก็อย่าไปอ่าน อย่าไปเข้าสิ คนเรา ถ้าเชื่อว่าเรามีสัจธรรมแล้วจะไปแคร์คนอื่นทำไมกัน บอกแล้วจบหน้าที่ เพราะเขาอาจจะรับไม่ได้หรือไม่มีความสามารถในการรับรุ้จริงๆ นะ ตอนนี้แหละเราควรจะถอยได้แล้ว
แต่ถ้าเราคิดว่าอีกฝ่ายมีภาวะเพียงพอต่อการทำความเข้าใจและรับรู้เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้
อาจจะดูเหมือนเหยียดในด้านโอกาสทางการศึกษา แต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อ
ถ้าคนจบป. เอกไปทะเลาะกับแม่ค้าในตลาด ทุกคนเขาก็มองว่าคนจบป. เอกก็ไม่ต่างอะไรกับ แม่ค้าในตลาดมะชะเหรอ