วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หลากหลายเรื่องราว

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า

เรื่องที่หนึ่ง ส่วนแรกในหัวข้อมุสลิมเป็นพี่น้องกัน ปรากฏชัดในทั้งอัลกรุอ่านและฮาดีษของท่านนบีมูฮัมหมัดซอลลัลลอฮ์ฯถึงความเป็นพี่น้องของมุสลิม เราจะเห็นได้ว่าถ้าเพียงเรารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นมุสลิมความสนิทสนมและความไว้วางใจเกิดขึ้นอย่างบอกไม่ถูกอธิบายไม่ได้ เห็นด้วยมั๊ยเอย
แต่ว่าในความเป็นพี่น้องกันนั้น ก็ยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เราต้องระลึกและเตือนตัวเอง
ถึงเราจะเป็นพี่น้องกัน เราก็ยังไม่ใช่พี่น้องท้องเดี่ยวกัน เรายังไม่มีความเป็นมุสลิมมีนและมุสลิมมะห์
อันนี้ประเด็นที่ต้องระวัง

เรื่องที่สอง ตรวจสอบเนียต เนียตหมายถึงการตั้งเจตนารมย์ในการทำอะไรสักอย่างในศาสนา เนียดในการทำอิบาดะห์เป็นสิ่งจำเป็นเช่น เราเนียตจะอาบน้ำละหมาดเพื่ออัลลอฮ์ เราเนียตจะถือศีลอดเพื่ออัลลอฮ์ เราเนียตจะซอฏอเกาะฮ์เพื่ออัลลอฮ์ เราเนียตจะทำอะไรก็ตาม เราเคยตรวจสอบเนียตของเราอีกที่มั๊ย
ถ้าเราลองมานั่งนึกดูเราตั้งเจตนารมย์นั้นแล้วสิ่งที่มันเกิดขึ้นมามันเป็นตามเจตนารมย์นั้นจริงหรือเปล่า
ยากเสียเหลือเกินที่ เนียต นี่ต้องบริสุทธิ์จริงจริงไม่งั้นจะเป็นการโอ้อวดบ้างแทนที่จะได้ 70 เท่า ไม่เหลือเลยก้อได้ เท่าทุน จริงๆ เนียตทำให้เรากำไร กับขาดทุนเท่านั้นนะ ไม่มีเท่าทุน

เรื่องที่ สาม ว่าด้วยการทำงานศาสนา
น้องคนนี้มีเจตนารมย์แน่วแน่ในการทำงานเพื่อศาสนา เขาบอกว่าเขาพร้อมที่จะทำงานศาสนา แต่สิ่งที่เขาขาดคือโอกาส
เอ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ลองอ่านอีกครั้งค่ะ
น้องคนนี้มีเจตนารมย์แน่วแน่ในการทำงานเพื่อศาสนา เขาบอกว่าเขาพร้อมที่จะทำงานศาสนา แต่สิ่งที่เขาขาดคือโอกาส เขาไม่มีโอกาส หรือเขาไม่เจอโอกาส หรือเขาไม่แสวงหาโอกาสกันแน่ ลองมาดูกันนะคะ
โ-----------------------------อ--------------------------------ก-----------------------------------า----------------------------------ส
ในสาขาบริหารจัดการ คำว่า โอกาส หมายถึง ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกที่เอื้ออำนวยให้การทำงานบรรลุวัตถุ ประสงค์ หรือหมายถึง สภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการ
พอรู้ความหมายแล้วลองมาดูว่าโอกาสมีขนาดไหนบ้าง ผลตอบรับมันมากน้อยอย่างไรบ้างโอกาสมันอาจเล็กมากจนมองไม่เห็นเลย
โอกาสมันอาจขนาดพอเหมาะเห็น หรือมันอาจจะใหญ่โตจนเราเองก็รับมือมันไม่ไหว
เรามาลองดูก่อน จากสายตาของผู้เขียน อย่ามาอ้างน่ะ ว่าได้ซิ เราไม่ใช่ผู้รู้ เราไม่มีตังค์เยอะ เราไม่มี.........
มันขึ้นอยู่กับน้องต่างหากว่า จำกัดความคำว่าโอกาสว่าอะไร จริงเหรอที่เราไม่มีโอกาสทำงานศาสนาจะขยับทางไหนก้อเป็นงานศาสนาหมดเลยแหละ
อยู่ที่ว่าจะนำเสนอแบบไหน ที่เหมาะสมสำหรับผู้รับ

โอกาสที่หนึ่ง โอกาสที่ใหญ่จนเราอาจจะรับมือมันไม่ไหวกลับจริงมันกลับเป็นอะไรเล็กนิดเดียวใกล้ตัวใกล้ตาใกล้ไปหมดแต่ คิดไม่ถึง เฉลยดีกว่า คือตัวเราเองค่ะ ทุกคนๆคงได้ยินคำว่าพรีเซนเตอร์มาก่อนแน่นอน พรีเซนเตอร์คือ บุคคลที่ทำหน้าที่นำเสนอสิ่งใดสิ่งหนึ่งเช่นสินค้า ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีศักยภาพและได้รับผลตอบรับที่ดีระดับต้นๆที่เดียว จึงไม่แปลกใจเลยว่าสินค้าแบรดดังๆ ลงทุนมหาศาลจ้างพรีเซนเตอร์มานำเสนอสินค้า ทำให้บุคคลที่โด่งดังนั้นเป็นไอคอนหรือสัญลักษณ์ของสินค้านั้น ยกตัวอย่าง เดวิท แบคแฮม กับสินค้ามีดโกน ยีน---- (ไม่จ่ายค่าโฆษณา)ไปเดากันเอาเอง คนที่ซื้อสินค้าบางคนดูที่พรีเซนเตอร์เพื่อประกอบการตัดสินใจ คนบ้าบอลบ้าแบคแฮมบางคนใช้ยี่ห้อนี้เพราะคิดว่าทำให้หมือนแบคแฮม
ที่นี้กลับมาเรื่องศาสนาของเรา เคยคิดมั๊ยว่า มุสลิมเป็นพรีเซนเตอร์ของอิสลาม ทำไมอัลกรุอ่านบอกว่าเราเป็นประชาชาติตัวอย่าง แต่ทำไมๆๆๆ สื่อถึงได้บอกว่ามุสลิมเป็นพรีเซนเตอร์ของผู้ก่อการร้ายๆๆๆๆ เพราะว่ามุสลิมไม่เป็นพรีเซนเตอร์ที่ดีนะสิ ถ้าเราปฏิบัติตามหลักการ เป็นมุสลิมที่สมบูรณ์เราก็จะเป็นพรีเซนเตอร์ที่ดีของอิสลามของเราได้ ถามว่าโอกาสนี้ทุกคนมีมั๊ย มันใกล้มากๆ เลยใกล้จนเราลืมนึกไป

โอกาสที่สอง การแสดงความคิดของเรา ผู้เขียนเองอยู่ในวงการศึกษาแต่ไม่มีความเป็นนักการศึกษาเท่าไรเพราะไม่ชอบการเขียนเป็นอย่างมาก แต่แล้ววันหนึ่งก็นึกอยากจะลองเขียนมันสักครั้ง เขียนอะไรก็ไม่รุ้เขียนเถอะ เขียนแสดงความคิดเห็นของเรา แสดงมุมมองของเรา ออกไปให้คนอื่นรู้แล้วก็อัลฮัมดุลิละห์ผลที่ออกมา งานเขียนของเราสิ่งที่เราคิดว่าความคิดของคนธรรมดา ความรู้ศาสนาเท่าหางอึง กับสะกิดหลายๆ คนให้กลับมาคิดและทบทวนได้นิน่า ทุกคนก็เหมือนกันค่ะ ทุกคนเคยเขียนเคยอ่าน และทุกคนมีความคิดและมุมมองของตัวเอง ลองเอาความคิดมุมมองของเรามาตีแผ่ มันอาจจะดูธรรมดาในสายตาของเราเองแต่มันอาจจะเป็นการเปิดโลกทัศน์ เปิดหูเปิดตาคนอ่านก็ได้นะคะ

โอกาสที่สาม เรามาศึกษาหาความรู้ตรงนี้ เคยมั๊ยคิดจะไปบอกต่อ เคยได้ยินมั๊ยลิ้นของเราจะเข้าสวรรค์ก็ด้วยลิ้น จะเข้านรกก็ลิ้นอีกนะแหละลิ้นของเราทำยังไงในงานศาสนา การตักเตือน(จะพูดต่อในเรื่องที่ห้าในวันนี้) การตำหนิ การสอนได้หมดแหละค่ะ เคยได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งบรรยายว่าบอกว่านบีมูฮัมหมัดซอลลัลลอฮ์ฯไม่เคยปล่อยโอกาสที่จะสอนสาวกของท่าเลย ไม่ว่าจะเป็นที่ตลาดๆ ที่มัสยิด ขณะเดินทาง ขณะกินข้าว ขณะโอ้ยโอกาสเยอะจะตายไป หาสิค่ะ ลองมองดีๆ อย่าคิดการใหญ่ คิดการเล็กแต่ลงมือปฏิบัติทำทุกๆๆ วันการงานเล็กๆ ก็เป็นการงานที่ใหญ่ได้ในวันหนึ่งอินชาอัลลอฮ์


เรื่องที่สาม การศึกษา
การศึกษาในที่นี้คือกระบวนการของการเรียนรู้ ถ้าพูดในวงการมุสลิม การศึกษาสามารถแบ่งได้เป็นสองสาขา คือ ศาสนา และสามัญ
นบีมูฮัมหมัดซอลลัลลอฮ์ฯเคยบอกไว้ว่า เราต้องใช้ชีวิตในดุนยาเพื่ออาคีเราะห์ถูกหรือเปล่าค่ะ
เรียนศาสนา เรียนอย่างไร อันนี้ไม่ถนัดเพราะว่าไม่ได้เรียนแต่เล็กแต่น้อย แชร์วิธีการเรียนของมุสลิมใหม่ไกลบ้านแล้วกันนะคะ อาศัยโหลดคำบรรยายของผู้รู้ที่มีอามานะ มีความรู้และแนวทางที่ถูกต้อง เลือกคนที่รู้และปฏิบัติด้วย แล้วก็ฟังค่ะ ฟังมันบ่อยๆๆ ฟังหลายๆ เรื่อง ถ้าฟังแล้วจำได้ก็ไม่ต้องจด ถ้าจำไม่ได้ก็ให้จด แล้วก็ลองนำมาปฏิบัติ ก็เป็นการเรียนได้อย่างหนึ่งค่ะ อ่านเยอะๆๆๆ ดูเยอะ การติดตามข่าวสารก็เป็นการเรียนแบบหนึ่งนะคะ
เรียนอะไร ที่สำคัญที่สุดในมุมมองผู้เขียนคือ เรียนอากีดะฮ์ หรือหลักศรัทรา ถ้าศรัทธาถูก อากีดะห์เข้มแข็งละก็ทุกอย่างจะตามมา หลงได้ค่อนข้างยาก เรียนเพื่อไปทำอะไร เรียนเพื่อรู้ รู้แล้วเอาไปปฏิบัติค่ะ การเรียนที่เรียนเพื่อแค่รู้แล้วไม่ปฏิบัติไม่เกิดประโยชร์อะไรเลย
ถ้าเรียนแล้วรู้แน่แล้ว มีโอกาส เอาไปสอนต่อด้วยก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าเดิมค่ะ

เรียนสามัญ เรียนสามัญคือการเรียนอะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา
เรียนอะไร ในสามัญเองก็ยังแบ่งได้เป็นสองสายคือสายสามัญ และสายวิชาชีพ ในระดับก่อนปริญญา วิชาชีพคือการเรียนเพื่อไปประกอบอาชีพเช่นทำขนม เย็บปักถักรอย เรียนช่างเป็นต้น เรียนสายสามัญคือการเรียนในเรื่องทั่วไปที่เป็นพื้นฐานไปต่อยอดในการเรียนระดับปริญญา

เคยได้ยินใช้มั๊ยะว่าอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในทุกๆ อย่าง และไม่มีใครสามารถที่จะรู้ในสิ่งที่อัลลอฮ์ไม่รู้ไม่ได้เพราะอัลลออ์เป็นผู้ทรงรู้ยิ่ง เพราะฉะนั้นแปลกันง่ายคือเรียนอะไรก็ตาม เราก็เรียนรู้ในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงสร้างมันเอาไว้ การเรียนทางสามัญก็มีที่สิ้นสุดค่ะ สิ้นสุดตรงที่เราเข้าใจในอิสลามมากขึ้น เรียนไปเรื่อยสุดท้ายเราจะเข้าใจอัลลอฮ์มาขึ้นค่ะ

เรียนอย่างไร เอาประสบการณ์ของผู้เขียนนะคะ
เรียนอนบาลเพื่อเตรียมเข้าประถม
เรียนประถมเพื่อเตรียมตัวเข้ามัธยม
เรียนมัธยมเพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย
เรียนปริญญาตรี สิ่งที่เข้าสอนคือสอนให้เราปฏิบัติ เราอาจจะยังไม่เข้าใจแต่เราปฏิบัติได้แน่ๆ เช่น เขาสอนให้เราเป็นพยาบาลเราก็จบมาเป็นพยาบาลได้ เราเรียนวิศวกรรม ก็ออกมาเป็นวิศวกร เรารู้ว่าเราต้องทำงานยังไงแต่เราไม่เข้าใจแก่นของมันหรอก
เรียนปริญญาโท สิ่งที่เข้าสอนเราคือสอนให้เราประยุกต์ การที่เราจะประยุกต์ได้เราต้องเข้าใจแก่นแท้ของมันก่อนถึงจะเอามันมาปรับใช้หรือประยุกต์ได้
ที่นี้เรียนปริญญาเอก เรียนปริญญาเอกเป็นการเรียนเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่เพื่อให้เด็ก ป.ตรี ป.โท เรียนกันต่อไป ปริญญาเอกเรียนให้เป็นคนค้นคว้า จริงๆคนปริญญาเอกไม่ถือเป็นนักเรียน แต่ถือเป็นคนทำงาน สร้างความรุ้ใหม่ ถ้าเรียนแล้วคิดๆ แล้วจะรู้ว่าโลกนี้มันเกิดขึ้นมาเองไม่ได้หรอก ไอ้แค่จะจบปริญญาเอกต้องคิดอะไรที่ไม่มีคนอ้างว่าคิดได้มาก่อนนี้ก็แทบตายแล้ว โลกนี้มันจะเกิดขึ้นมาเองได้ยังไง ต้องมีอะไรสักอย่างที่สร้างโลกขึ้นมา แล้วผู้สร้างต้องเป็นพระเจ้าอย่างแน่นอนเพราะมันช่างไม่มีที่ติเอาสะเอง มาชาอัลลอฮ์ อัลลอฮ์ฮูอักบัร
เห้นมั๊ยค่ะเรียนอะไรถ้ารู้ว่าเรียนอะไร เรียนเพื่ออะไร เรืยนไปทำไม มันก็กลับมาที่ศาสนานะแหละ

เรียนเพื่ออะไร เรียนสายสามัญ เรียนเพื่อประกอบอาชีพไเป็นครุเป็นโน้นเป็นนี้เป็นแนวทางในการหาปัจจัยยั่งชีพมาเลี้ยงครอบครัว บำรุงศาสนา และอะไรอีกหลายๆ อย่าง เนียตให้ดี เรียนอะไรเรียนเพื่ออะไร
แต่อย่าลืม เรียนแล้วรู้ แต่ถ้ารู้แล้วไม่ปฏิบัติ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะเรียนกันไปทำไม


เรื่องที่สี่.....................การตักเตือน
นาซีฮัด(ตักเตือน)

ศาสนาคือการตักเตือน
การตักเตือน หมายถึงอะไร การตักเตือน หรือ การท้วงติง คือ การเตือนให้ระวังข้อผิดพลาด
ทุกคนคงเคยได้ยินคำนี้มาก่อน แต่เคยถามตัวเองมั๊ยว่า ถ้าเราถูกนาซีฮัดเราพร้อมมั๊ยที่จะเปิดใจรับการตักเตือนนั้นๆ
เราใจกว้างพอจะรับการตักเตือนหรือเปล่า หรือว่าเราคิดว่าเราสมบูรณ์แล้ว
ไม่หรอกค่ะเราบอกไมได้ว่าเราสมบูรณ์คนที่สมบูรณ์ในโลกดุนยานี้มีเพียงคนเดียวคือนบีมูฮัมหมัดซอลลัลลออ์ฯ เท่านั้น
ที่นี้ลองมาเตรียมตัวรับการตักเตือนกันเถอะ
ถ้าอารมณ์ของเราอยู่เหนือการควบคุม การนาซีฮัดของคนอื่นอาจดูเหมือนคำตำหนิ ไม่ใช่เรา เขาพูดเรือ่งอะไรแล้วสุดท้าย คำตักเตือนนั้นก็ทำให้เราหงุดหงิด แล้วเราได้อะไรจากการนาซีฮัดกันละคะ
ที่นี้การเตือนต้องเตือนใครบ้างๆ เตือนพี่น้อง เตือนเพื่อน เตือนพ่อแม่ เตือนสามี เตือนภรรยา เตือนลูกหลาน เตือนผู้รู้ เตือนได้ทุกคนค่ะ แต่ที่ไม่ควรลืมอย่างมาก คือ การเตือนตนเอง การเตือนตัวเองเป้นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาความศรัทธาของเรา และจุดเริ่มต้นของเปลี่ยนทุกอย่างจากสิ่งที่ชั่วมาเป็นสิ่งที่ดีขึ้น การเตือนตนเองและคนอื่นๆ ที่ดีและเหมาะสมที่สุดๆ เตือนตัวเองและผู้ศรัทธา
1. ข้อเตือนข้อแรกเราเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ 2. ให้เกรงกลัวอัลลอฮ ์เถิด วันนี้ขอเตือนตัวเองและทุกคนไม่ว่าจะทำอะไรระลึกไว้นะคะ อัลลอฮ์ทรงรับรู้ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ที่อยู๋ในหัวใจและที่แสดงออกมาเป็นการกระทำ จงย่ำเกรงอัลลออ์เถิด............
ลองมาคิดกันหน่อย ถ้าเราถูกนาซีฮัด เราควรทำตัวยังไงเปิด อภิปรายขอข้อคิดเห็นค่ะ
เรื่อง คนที่รู้ศาสนาแล้ว คิดว่าตัวเองสุดยอดแล้ว อ่ะให้ระวังตัว เดี๋ยวจะเข้าข่ายริยาอฺ(การโอ้อวด) คอยแต่ตำหนิโน้น นี่ ตำหนิคนอื่นหันมามองตัวเอง ว่าทำได้แค่ได้ คนทีรู้ศาสนามาก น้อย ปานกลาง ก็อย่าลืมที่จะเปิดใจ เปิดมุมมองรับฟังคำตักเตือนของคนอื่นบ้างนะคะ
ที่นี้เรามาเปิดโอกาสให้ทุกคนตักเตือนกันและกันในเวปนี้กันเถอะค่ะ ขอให้ทุกคนช่วยกันคิดหัวข้อในการตักเตือนซึ่งกันและกันนะคะ

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มุสลิมทั่วโลกที่รอความช่วยเหลือจากคนที่เรียกว่าตัวเองว่ามุสลิม

หัวข้อวันนี้ไม่มีอะไรมากนะคะ เป็นการรวบรวมสภาพของมุสลิมจากมุมต่างๆ ของโลกที่เขาประสบการทดสอบจากอัลลอฮ์และเขากำลังอดทน
มาเป็นเครื่องเตือนใจให้กับพี่น้องในเมืองไทย ที่เหมือนจะลำบากแต่เราลำบากเท่ากับพวกเขาหรือเปล่า เราใช้ชีวิตอย่างไร เคยคิดถึงพวกเขาบ้างมั๊ย เราจะไปตอบกับพระเจ้าของเรายังไง เมื่อพี่น้องเราเดือดร้อนแล้วเรายังนั่งคุยกับเพื่อน กินขนม หัวเราะกันคิกคัก ไม่เคยแม้แต่จะรับรู้ พี่น้องเราเขาอยู่กันยังไง ลำบากมั๊ย

1. ทุกคนได้ยินข่าวเรื่องพี่น้องของเราที่กาซ่าแล้วใช่หรือไม่
แล้วทุกคนทำอะไรกันอยู่ค่ะ
เชค ดร. ยูซุฟ อัล-เกาะเราะฎอวีย์ ยืนยันหลักการที่ว่า
ภาระหน้าที่ได้ถูกกำหนดแก่มุสลิมทุกคนตั้งแต่มอร็อคโคจนถึงอินโดนิเซียที่จะต้องช่วยเหลือ พี่น้องมุสลิมในฉนวนกาซ่า เพื่อปกป้องแผ่นดินอิสลามจากการรุกรานของศัตรู
“การสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าเป็นหน้าที่ทางศาสนาที่วางบนปัจเจกชนมุสลิมทุกๆ คน ตามระดับความสามารถของเขา ไม่มีใครได้รับการยกเว้นจากภาระหน้าที่นี้” เชค ดร.ยูซุฟ อัล-เกาะเราะฎอวีย์ ได้กล่าวต่อหน้าฝูงชนจำนวนมหาศาลที่เดินขบวนประท้วงในเมืองกาตารี เมืองหลวงของประเทศการ์ตาร์
เชค เกาะเราะฎอวีย์ กล่าวยืนยันว่า อุมมะฮฺ(ประชาชาติอิสลาม)ยังไม่ตายและพร้อมที่จะสละสิ่งที่มีค่าเพื่อพี่น้องของพวกเขา ขณะเดียวกันเชคเกาะเราะฎอวีย์ได้กล่าวโจมตีประเทศอาหรับที่ได้สูญเสียความกล้าหาญ แม้กระทั่งการออกมติเพื่อสกัดกั้นการเข่นฆ่าในฉนวนกาซ่า
เชค เกาะเราะฎอวีย์ เรียกร้องให้มุสลิมทุกคนช่วยกันดุอาอ์ และบริจาคทรัพย์เพื่อพี่น้องในปาเลสไตน์ “อย่าให้พี่น้องในกาซ่าต้องรู้สึกว่า พวกเขาถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยวในสนามรบที่กระทำโดยกองทัพอิสราเอลอาชญากรที่เข้ายึดครอง” ที่มา http://ikhwanweb.com/index1.asp
เปิดโลกให้กว้างกว่ากาซ่าอีกหน่อยมั๊ยจะได้รู้วามุสลิมทั่วโลกเขาประสบอะไรและต้องการความช่วยเหลือจากเรายังไง


2. พี่น้องที่อีรัก
พี่น้องเคยรู้หรือเปล่า ว่า เด็กแรกเกิดนอีรักต้องตาย เพราะว่าเข็มน้ำเกลือที่ใช้ในการให้น้ำเกลือแกเขานั้นขาดแคลน ทารกตัวน้อยต้องใช้เข็มขนาดของผู้ใหญ ที่แทนจะช่วยเขากับทำให้เขากลับไปหาพระเจ้าของเขา
สงครามในอีรักตั้งแต่ปี 2003 จน 2007 พี่น้องของเราหลายแสนคนได้ถูกฆ่า และส่งผลให้มีหลายแสนแม่ม่ายและอีกหลายแสนเด็กกำพร้า

3.พี่น้องทีอียิปต์ หลายชีวิตในอียิปต์ ประสบปัญหาความยากจน การแสดงออกในทางศาสนาเป็นเรื่องผิดกฏหมาย หลายคนต้องเข้าไปใช้ชีวิตในคุก เพียงเพราะมีเคราและออกมาพูดเรื่องศาสนา

4.พี่น้องที่ปากีสถานที่ประสบเหตุแผ่นดินไหว ประมาณ 160 คนเสียชิวิต หลายร้อยคนบาดเจ็บและขาดแคลนที่อย่กว่า 15000 คน

5. มีพี่น้องมุสลิมในแอฟริกากว่า 8 ประเทศ กำลังอดอยาก ไม่มีน้ำสะอาดบริโภค เด็กๆ ขาดสารอาหาร ไม่มีระบบรักษาพยายามและความยากจน

6. พี่น้องที่เยเมนประสบเหตุน้ำท่วม สองพื้นที่ในเยเมนประสบเหตุน้ำท่วมจากฝนและพายุในวันที่ 24-25 ตค. รัฐบาลเยเมนได้ประกาศเขต เป้นเขตภัยพิบัติ ในเขต Hadramout 560 หลังคาเรือนถูกทำลาย 48 ชีวิตสูยหายและ 60% ของผู้คนไม่มีไฟฟ้าใช้ ในเขต Al-Mahra มีผู้เสียชีวิต 10 คน 487 หลังตาเรือน ไร่นากว่า 280 แห่งเสียหาย 447 ชาวประมงสูญหาย เรื่อขนาดเล็ก 31 ลำสูญหายกลางทะเล วันที่ 26 ตค. ความเสียหายได้ขยายไปยังอีก 5 เขตการปกคลอง สวนไร่นาถูฏทำลาย บ้านและสาธารณูปโภคพื้นฐานถกทำลาย สิ่งที่ผู้ประสบภัยต้องการคือ อาหาร ยา ที่อยู๋อาศัยและปัจจัยยังชีพพื้นฐาน

7. มุสลิมในศรีลังกา ยากจนประสบเหตุ ราคาอาหารและขาดแคลนอาหาร ตลอดเดิอนรอมฏอน ศรัลังกาเป็นประเทศที่ยากจนประเทศหนึ่งกว่า 60 หมุ่บ้านและ10 เขตการปกครองที่อยู่ในกลุ่มยากจนขั้นสุด มุสลิมในเขตนั้นไม่มีเงินซื้อหารและกำลังอดอยาก

8. แม่กระทั้งในยุโรป พี่น้องมุสลิมในยุโรบตะวันออกก็กำลังอยู๋ในภาวะยากลำบาก ในอัลบาเนีย บอสเนีย เชทเนีย และ โคโสโว

9. มุสลิมในอินโดนิเซีย
ก่อนสึนามิ อินโดนีเซียก็เป็นประเทษยากจนอยู๋แล้ว หลังสึนามิ เหตุการณยิ่งร้ายไปกว่า แต่อย่างที่นบีบอก ความจนไม่ใช้สิ่งที่ท่านกังวลสำหรับประชาชาติ แต่รู้หรือเปล่าว่าพวกคริสต์หยิบยื่นความช่วยเหลือให้มุสลิมที่ยากจนเพื่อชักจูงเขาออกจากศาสนาที่เที่ยงตรง กี่คนที่จะเข้มแข็งและยื่นหยัดในดุนยา เพื่ออาคีเราะ สิ่งที่เขาต้องการ อาหาร ที่อย๋อาศัย การศึกษา ยารักษาโรค

ความอดอยาก เชื่อหรือไม่ มี 24000 คนตายเนืองด้วยความอดอยาก และ 78 เปอร์เซนต์ของจำนวนนี้ตคือเด็กและสตรี

10. มุสลิมในอัฟกานิธาน อัฟกานิสธานไม่ต่างอะไรกับอีรักโดยมหาอำนาจรังแก ป้ายข้อหาแหล่งส่องซุมของผู้ก่อการร้ายให้โดยไม่เป็นธรรม

11.มุสลิมในบังกลาเทศ ประเทศนี้ยากจน

12. มุสลิมในแคชเมียร์ มุสลิมในแคชเมียร์ส่วนใต้การปกครองของอินเดีย โดนอธรรมและมีปัญหาเรืองความเชื่อที่ขัดแย่งมากว่าร้อยปี มีสงคราม ชีวิตอยุ่ในอันตรายเพียงเพราะเขาเป็นมุสลิม สงครามกลางเมืองและปัฯหาความยากจน

13. มุสลิมในเมืองจีน

14.. เด็กกำพร้ามุสลิมทั่วโลก เด็กที่เกิดมาแล้วพ่อไม่มีชีวิตยู๋แล้วตามศาสนาอิสลามนั้นคือเด็กกำพร้า นบีมูฮัมหมัด ซอลลัลอลฮ์ฯ ก็เป็นเด็กกำพร้า อัลกรุอ่านก็บอกให้เราช่วยเด็กกำพร้า ฮาดีษมากมายบอกให้เราเหล่ยวแลเด็กกำพร้า
เคยได้ยินมั๊ยว่าแค่ไปลูบหัวเด็กกำพร้าก็ได้บุญแล้ว การไปเล่น เอาขนมไปให้ ไปกอดเขา ไปคุยกับเขา ไปสอนการบ้านเขา นั้นเรากำลังทำบุญอยู๋นะคะ เคยทำบ้างหรือเปล่า


15. เมืองไทย. ใกล้ที่สุด เด็กกำพร้ามูลนิธิที่สันติชน กทม. หรือแม้แต่เด็กข้างบ้าน

ตื่นหรือยังพี่น้องมุสลิมในประเทศไทยทั้งหลาย
มีพี่น้องมุสลิมรอความช่วยเหลืออีกเท่าไร กาซ่า เยเมน ปากีสถาน แคชเมียร์ เด็กกำหร้า

วันนี้คุณช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไร คิดสิ และ ทำอะไรได้บ้าง
สองกลยุทธ์ในการหาเงินมาบริจาคมาเสนอ
หนึ่ง ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นไปบริจาค
คุณหรือเปล่าที่อาหารไม่ถูกปากแล้วบ่น คุณหรือปล่าที่ใช้เงินซื้อเครื่องดื่มไร้สาระกินเพื่อความเท่ห์
คุณหรือปล่าที่สูปบุหรี เพื่อเข้าสังคม
คุณหรือเปล่าที่สังสรรค์กินข้าวนอกบ้านกับเพื่อนเพื่อความสนุกสนาน
คุณหรือเปล่าที่ซื้อเสื้อผ้าสวยงามทุกเดือนหรือกว่านั้น
คุณหรือเปล่าที่จัดงานวันเกิด หรืองานแต่งงานหรุหรา
คุณหรือเปล่าซื้อเครื่องสำอางราคาแพงๆ
คุณหรือเปล่าที่เห็นว่างานที่ทำและเงินที่ได้ช่างน้อยนิด ไร้ค่า
คุณหรือเปล่าที่กินข้าวไม่หมดจาน
ถ้าคุณเป็นเช่นนั้น หยุดการกระทนั้นเสีย หยุดฟุ่มเฟือย หยุดการใช้เงินโดยไม่คิด หยุดการบ่นในสิ่งที่อัลลอฮ์ให้กับคุณ
กลับไปคิดสิ่งที่คุณเพิ่งได้รับรู้
คุณจะช่วยพี่น้องของเราอย่างไร
เก็บออมเงินของคุณวันละห้าบาทสิบบาท เอาไปช่วยพี่น้องของเรากันเถอะ
2. หารายได้พิเศษเพื่อเอาไปบริจาค
คิดถึงความลำบากของพี่น้องของเรา เอาควาสงสารไปทำอะไรเพื่อเขาก็ได้นะคะ
ไปรับจ้างง่ายๆ รับงานฝีมือมาทำ
ลองทำที่คั่นหนังสือ เสื้อยืดลายสวยๆ กระเป๋าผ้า มาขาย เอากำไรไปบริจาค แม้แต่ตั้งกล่องรับบริจาคที่มัสยิด

เริ่มจากข้างบ้านเรา หมู่บ้านเรา มัสยิดเรา จังหวัดของเรา ประเทศของเรา โลกของเรา
ถ้าโลกนี้มีมุสลิมที่มีความเป็นมุสลิมโลกนี้จะน่าอยู่กว่านี้ค่ะ
วันนี้คุณบริจาคแล้วหรือยัง ปีนี้คุณจ่ายซะกาตหรือเปล่า
คิดถึงคนอื่น จะทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น
แล้วรู้หรือเปล่า ยิ่งเราเสียดายเท่าไร เวลาเราบริจาค ผลบุญก็มากทวีคูณเขาไปเท่านั้น
เก็บเงินไว้เพื่อใคร เพื่ออะไร รุ้ได้ยังไงเราจะมีโอกาสได้ใช้เงินนั้น อาจจะตายนาทีหน้า ตายคืนนี้ ตายพรุ่งนี้เช้า แล้วเงินของเราก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเราในโลกหน้าเลย เพราะเราคิดแต่โลกนี้แล้วลืมโลกหน้า
ทำธุรกิจกับอัลลออ์ง่ายนิดเดียวผลตอบแทนมหาศาล จำไม่ได้ว่ามากจากกรุอ่านหรือฮาดีษนะใครรู้ช่วยเสริมด้วย
สิ่งที่เราบริจาคไปไม่ทำให้เงินของเราพร่องไปเลย เพราะอัลลออ์จะตอบแทนกลับจากเงินที่เราให้พระองค์ยืมไปแบบไม่นับ วันนี้เราทำธูรกิจกับอัลลออ์หรือยังค่ะ

วัสลาม


มุมมองของมุสลิมเมื่อวานซืน ต่อมุสลิมโดยกำเนิด
อันนี้เป็นการนำเสนอแบบไม่มีกระบวนท่านะคะ
เป็นมุมมอง ความคิดและข้อเสนอแนะ ที่มุสลิมใหม่คนนี้อยากให้มุสลิมเดิมได้รู้และคิดตาม
1. เคยคิดมั๊ยว่า โชคดีแค่ไหนที่เกิดมาเป็นมุสลิม พ่อแม่ พี่น้องเป็นมุสลิม
แล้วเคยคิดมั๊ยว่าคนที่เขาไม่ได้เป็นมุสลิมแต่เกิด เขาเป็นยังไง
เมื่อเขาเลือกแล้วซึ่งอิสลาม แต่เขาต้องละทิ้งตรอบครัว พ่อแม่ที่เขารักและรักเขา พี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน เขาทำไปเพื่ออะไรกัน
เคยคิดมั๊ยว่าดีแค่ไหนกับที่เราคลุมฮีอาบเรียบร้อยนั้นง่ายแค่ไหน ปะกับมะเคยมั๊ยที่จะโกธรที่เราจะคลุมฮีอาบ เราจะละหมาด เราทำหรือยัง
เคยคิดที่จะต้องทิ้งพ่อแม่ พี่น้อง บ้านช่องของเราที่อยู๋มาแต่เกิดเพื่อแลกกับศาสนามั๊ย
กี่ครั้งแล้วที่มุสลิมใหม่จะต้องละทิ้งบ้านของตัวเอง เผญิชชีวิตลำพังกับศาสนาใหม่และความเชื่อที่เขาศรัทธา

2. เคยรู้หรือเปล่าว่า ผ้าคลุมผมเพียงผืนเดียวที่มุสลิมใหม่พยายามปฏิบัติตามหลักการ ทำให้พ่อแม่เขาต้องนั่งร้องไห้ เสียใจ และสุดท้ายเขาก็ทนที่จะเห็นพ่อแม่เขาเสียใจ บ้างคนตัดสินใจที่ยื่นหยัดและเลือกที่จะให้พ่อแม่ไม่ต้องเห็นเธอในผ้าคลุม ออกจากบ้านใช้ชีวิตเพียงลำพัง บ้างคนก็ยังอ่อนแอแต่ก็ยังหวังว่าสักวันพ่อแม่จะเข้าใจและเธอจะเข้มแข็งพอที่จะทำตามหลักการนั้น
เคยรู้มั๊ยว่า มุสลิมใหม่บ้างคนพยายามเหลือเกินที่คลุมฮีอาบแล้วความหวังของเธอก็ถูกทำลายด้วยคำพูดจากของมุสลิมที่ไม่มีอิสลามว่า ฮีอาบไม่จำเป้นไปสุเหร่าแล้วค่อยคลุมก็พอ

3. เคยคิดหรือเปล่าเวลาละหมาดมาแล้ว ละหมาดครบห้าเวลาและการละหมาดเมื่อเข้าเวลานั้น พ่อแม่ดีใจเห็นลูกละหมาด ชมเชยเมื่อเห็นลูกปฏิบัติ
เคยคิดหรือเปล่าว่ามุสลิมใหม่ บ้างคน ละหมาดในบ้านของตัวเองไม่ได้
ต้องรอจนกว่าจะละหมาดอิชาจากนอกบ้านก่อนที่จะกลับเข้าบ้านของตัวเอง เพียงเพราะเขาอยากจะทำตามหลักการ

ข้อเสนอแนะ
กลับมาถามตัวเองค่ะ มุสลิมแต่กำเนิด ห่วงแหนอิสลามของเรามากแค่ไหน เคยทำอะไรเพื่อศาสนาของเราบ้าง เคยต้องญิฮาดกับตัวเองบ้างมั๊ยเพียงแต่จะตื่นมาละหมาดศุบหให้ตรงเวลา หรือจะไปละหมาดที่สุเหร่าให้ครบห้าเวลา ศึกษาศาสนาให้มากกว่าที่ตัวเองคิดว่ารู้ ทำอะไรเพื่อสังคมบ้างหรือเปล่าหรือวันนี้มีแต่ตัวเราและของเราเท่านั้น

เคยมั๊ยค่ะ ที่จะคิดว่ามุสลิมใหม่นะเหงาแค่ไหน เขาไม่มีพ่อไม่มีแม่ค่อยเล่าว่าวันนี้ไปทำอะไรมา ไม่มีพี่มีน้องไปรวมฟังบรรยายด้วย ออกอีดเขาจะฉลองกับใคร เคยคิดบ้างมั๊ยค่ะ อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ด้วยการยื่นหยัดมันต้องอดทนแค่ไหน

เคยคิดจะถามเขาบ้างมั๊ยว่าเขามีปัญหาอะไร
หรือแค่คิดว่าเขาเข้าศาสนา เพราะจะแต่งงานกับบัง และพวกบังๆทั้งหลาย เคยคิดบ้างมั๊ย มุสลิมใหม่บ้างคนที่บังเอิญไปเจอบังไม่มีอามานะ ทิ้งเขาไปหลังจากเขาทิ้งทุกอย่างมากับบังแล้วเขาจะทำยังไง เมื่อบังก็ทิ้งเขาไปอีกคน


ลองคิดนะคะ แล้วลองทำอะไรสักอย่างเพื่อพี่น้องของเราที่เข้าสู่ศาสนาของอัลลออ์อยู๋ทุกวัน

วัสลาม

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เป็นมุสลิมที่ดีต้องตามใคร

เคยได้ยินบ่อยว่าคนนี้เป็นคนที่น่าเอาอย่าง เป็นแบบอย่างหรือเรียกเป็นอังกฤษว่าโรลโมเดล
ที่นี้ถ้าจะเป็นมุสลิมต้องตามใครกันละ ตามใครแล้วเราจะรอดในหนทางของอัลลอฮ์ ตามใครแล้วเราจะประสบความสำเร็จ
ตามพ่อแม่ ปู่ยา ตายาย...ตามผู้นำ...ตามอิหม่าม....ตามโต๊ะครู....ตามเชค....ตามอ. มูรีด
ตามใครก็ไม่ดีทั้งนั้นเพราะอัลลอฮ์ได้สั่งให้เราตามนบีมูฮัมหมัดแม้แต่นบีอีซาตอนกลับมาก่อนกียามัตยังต้องตามนบีมูฮัมหมัดเลย
แล้วพวกเรามุสลิมหางแถวจะไปตามคนอื่นได้ยังไงละคะ
ที่นี้ขอเปิดประเด็นว่าจะชื่นชมใครพูด จะชอบฟังบรรยายอาจารย์คนไหน ขอให้เตือนตัวเองไว้เสมอ
เชื่ออ. คนนี้เพราะอะไร เชื่อเชคเพราะอะไร เชื่อในสิ่งที่เขาพูดเพราะความรู้ของเขา และสิ่งที่เขาพูด แต่อย่าเชื่อตัวบุคคล การหลงและการชื่นชมนั้นทำให้เราอาจจะลืมตัว
จะตามใครต้องเช็คมาตรฐานของอัลลอฮ์ กอลัลลอฮ์ กอลัลรอซูลฮฺ เพราะไม่อย่างนั้นเรากับพวกชาวกุเรชสมัยท่านนบีก็ไม่ต่างกันตรงที่เราตามบรรพบุรุษ
แล้วถ้าตามอิหม่าม 4 มัซฮับละจะรอดมั๊ย อิหม่ามแต่ละมัซฮับก็สอนให้เราตามนบี เพราะฉะนั้นถ้าวิเคราะห์ดีๆๆ บุคคลที่อิหม่ามทุกมัซฮับบอกให้เราตามคือนบีมูฮัมหมัดต่างหาก
ที่นี้มาให้ใกล้อีกนิด อ. มูรีด เชคริฏอทั้งสองท่านก็สอนว่าอัลลฮฮ์ว่า รอซูลว่า เพราะฉะนั้น บุคคลที่เราต้องตามก็ต้องตามนบีมูฮัมหมัดอีกนั้นแหละ
อยากให้แยกตัวบุคคลกับสิ่งที่เขาสอน ไม่ว่าจะเป็นใครถ้าเขาบอกอัลลออ์บอกรอซูลบอก แล้วมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ เราก็ต้องตามทั้งนั้น
เพราะอากีดะฮ์อิสลามิยะ

ที่นี้อะไรกันที่เรียกกันว่าสุนนะ
สุนนะหมายถึงแนวทาง แนวปฏิบัติ
ที่นี้เราเรียกตัวเองว่าฉันสุนนะเคยถามม่ะว่ามุสลิมสุนนะหน้าตาเป็นไง
มุสลิมสุนนะ ที่ไม่ละหมาดสุนนะ ไม่ถือบวชสุนนะ ไม่ทำอะไรที่เป็นสุนนะ แล้วเราจะเรียกตัวองว่าเป็นสุนนะได้อย่างไร นี้คือคำถามที่เคยถามอาจารย์ถามหนึ่ง เมื่อตอนรับอิสลามใหม่ๆ ว่าที่ว่าสุนนะนะ มันสุนนะตรงไหนเหรอ
แล้วก็มางงอีกรอบตอนเจอเพื่อนรวมบ้านที่ออสเตรเลีย ที่ประกาศตัวว่าเป็นชีอะ แต่ดันละหมาดสุนนะเคร่งครัดกว่าเราที่ว่าเป็นสุนนะสะอีก จนข้องใจมากต้องถามว่า เธอปฏิบัติสุนนะมากมายอย่างนี้ ทำไมเรียกตัวเองว่าชีอะ แล้วก็พอว่าอากีดะห์แตกต่างเลยเลิกคุยกันตั้งแต่นั้นมา

ดะวะ หน้าที่ของมุสลิมที่ถูกลืม
ได้มีโอกาสได้คุยกับต่างศาสนิกบนเวปซิคุง โดยมีเด็กป.หก น้องน้อยของเวปรวมอยู่ในเหตุการณ์ เป็นผู้สันทัดกรณีด้วย
รู้สึกประหลาดใจเมื่อเรากำลังพยายามอธิบายน้องต่างศาสนิกคนนั้นอยู่ น้องป.หก ส่งข้อความแปลกๆมาเช่น กะห์อย่าไปสอนอิสลามเขานะ เดี่ยวก็มีปัญหาหรอก เดี่ยวเขาเข้าอิสลามแล้วจะเป็นเรื่อง เราก็งง ทำไมละน้องป.หก ทำไมละคะน้องกำลังคิดอะไรอยู่
จนกระทั่งอดใจไม่ไหวต้องขอคุยส่วนตัวว่าทำไมละคับ เกิดอะไรขึ้น
น้องตอบมาด้วยความเป็นเด็กว่า ถ้าเขาเข้าอิสลามแล้วไม่ละหมาดละจะเกิดอะไรขึ้น
อ้อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ถึงบางอ้อทันที
น้อง ป. หกกำลังมองอีกมุมที่จริงๆ ก็ถูกของเขาว่า มันเป็นเรื่องร้ายแรงนะถ้าเขามาเป็นมุสลิมแล้วไม่ละหมาด
แต่ก็ได้บอกน้องไปว่า น้องอาจจะยังเด็กและยังไม่รู้ว่ามุสลิมทุกคนมีหน้าที่ต้องชักชวนคนอื่นมารู้จักอัลลอฮ์นะ

เล่าให้ฟังความร้ายกาจของผู้เขียนตอนรับอิสลามใหม่ๆ และรู้ว่าอัลลอฮ์รักคนรับอิสลามใหม่แค่ไหน
เคยขู่พวกเด็กมุสลิมในโรงเรียนศาสนาที่บังเอิญถูกเชิญไปเล่าประสบการณ์ทั้งด้านศาสนาและการเรียนให้ฟังว่า
ค่อยดูนะ กียามัตเจอกัน เจออัลลอฮ์เมื่อไรจะบอกเลยว่า พวกมุสลิมนะปิดปาก ไม่ทำหน้าที่เผยแพร่ เราไม่ได้ปฏิเสธศรัทธานะ เราไม่รู้จริงๆๆ มุสลิมทำตัวก็ไม่ดีไม่เห้นน่าจะเป็นประชาชาติตัวอย่าง แล้วยังปิดปากไม่บอกสัจธรรมกับพวกเราอีก ขอให้อัลลอฮ์ลงโทษพวกมุสลิมด้วยเถิด เหอๆๆๆ ร้ายมะเอย แล้วก็ยังสงสัยและคิดหาคำตอบจนถึงกับต้องออกปากถามอาจารย์ว่า หนูไม่เห็นด้วยที่ มุสลิมเรียกคนต่างศาสนิกว่า ผู้ปฏิเสธหรือกาเฟร รู้ได้ยังไงว่าเขาปฏิเสธ ในเมือเขายังไม่รู้สัจธรรมเลย เราไปเรียกเขาสะแล้วว่าเขาเป็นผู้ปฏิเสธ เขายังไม่มีโอกาสได้รู้และเลือกเลย เราฮู่กมเขาไปก่อนหรือเปล่านะ
มีอีกตัวอย่างได้มาจากฟังบรรยายของเชคริฎอที่ เชคบอกว่ามีอุลามาท่านหนึ่งถูกเชิญไปบรรยายที่อเมริกา หลังจากจบบรรยายมีชายคนหนึ่งเดินมาคุยกับท่านแล้วคำแรกก็บอกว่า ฉันจะฟ้องอัลลอฮ์ว่าท่านทำผิด อุลามาท่านนั้นก็อึ้ง ฉันไปทำอะไรท่านเหรอเราก็เพิ่งเจอกันวันนี้ อุลามาได้แต่งง แล้วชายคนนั้น ก็บอกว่า ฉันจะฟ้องอัลลอฮ์ว่าท่านไปไหนมา ทำไมท่านมาช้าเช่นนี้ ทำไมท่านปล่อยให้เราหลงผิด อยู่ในความมืด

เห็นหรือเปล่าค่ะ มีอีกหลายๆ คนที่จะฟ้องเราต่ออัลลอฮ์ ว่าเราไม่เผยแพร่ นำเขาจากทางที่หลงผิด
พี่น้องรุ้มั๊ยค่ะ เงือนไขการเป็นมุสลิมของคนต่างศาสนิกนะ แค่เขาเชื่อว่ามีอัลลอฮ์และนบีมูฮัมหมัดเป็นรอซูลคนสุดท้ายของอัลลอฮ์และ เขาประกาศหรือกล่าวชาฮาดะ เขาก็เป็นหนึ่งในพี่น้องของเราแล้วนะคะ
สวมฮีอาบ ละหมาด ถือบวช ไม่ได้เขาสุนัต หรือแม้แต่ภาคปฏิบัติอื่นๆๆๆ ถ้าเขากล่าวชาฮาดะแล้วยังไม่ปฏิบัติเขาก็ยังมีโอกาสออกจากนรกของอัลลอฮ์อินชาอัลลอฮ์ ทุกอย่างที่ว่ามานี้ไม่เป็นเงื่อนไขในการให้เขาเข้ารับอิสลามนะค่ะ ขอให้เข้าใจ หรือแม้แต่เขายังเลิกกินหมูไม่ได้ ก็ยังมีทัศนะว่าไม่มีปัญหาเลย เขามีเวลาที่จะศึกษาและปรับปรุงตัวของเขาต่อไปนะคะ
ถ้าเขายังไม่พร้อม สอนเขาสิค่ะ นึกถึงตัวเองตอนยังไม่บรรลุศาสนะภาวะ เขาก็เหมือนเด็กเพิ่งเกิดนะแหละ เขาไม่รู้เขาก็ไม่ต่างกับพี่น้องที่ยังไม่รุ้เรื่องนะแหละ เขายังไม่ได้ศึกษาอินชาอัลลอฮ์ อัลลอฮ์อาจจะไม่เอาผิดเขาก็ได้ อัลลอฮูอาลัม

มีอีกประโยคที่พูดที่ไรก็เหมือนตบหน้า มุสลิมไปหลายฉาด ประโยคนั้นคือ อัลฮัมดุลิละห์ ที่รู้จักอิสลาม ก่อนเจอมุสลิมมิเช่นนั้นก็คงไม่ได้เป็นมุสลิมวันนี้หรอก เพราะเจอแล้วผงะ นี้หรือมุสลิม ใช้ชีวิตแบบนนี้ นิสัยแบบนี้ มารยาทแบบนี้ ไม่ดีกว่า กลัวจริงๆนะ

เคยคืดไม่ตกที่เห็นมุสลิมอยู่ในสลัมแถวบ้าน มีคนแก่ๆ มากินนอนที่มัสยิดดูไม่สะอาดเอาสะเลย
เห็นแม่ค้าในตลาดเป็นแม่ค้ามุสลิมไม่คลุมฮีอาบ สามีเธอไปไหนทำไมเธอต้องลำบากแบบนี้ คิดแล้วเครียด ถ้าเราเป็นมุสลิมเราต้องมาใช้ชีวิตแบบนี้หรือ รับไม่ได้อ่ะ เครียดจริงๆ แต่อัลฮัมดุลิละห์ ได้เจอกันตัวอย่างที่ดีเช่นกัน พ่อบ้านทำงาน แม่ทำงานบ้านเลี้ยงลูก มุสลิมมีงานดีๆ ทำ มีบ้านพอใช้ได้อยู๋ก็มีนิน่า ได้คุยแล้วสบายใจขึ้นว่าสิ่งที่เห็น

ปลุกศรัทธา ปลุกอีหม่าน ปลุกจิตสำนึก


การบริจาค
เคยมั้ยที่รู้สึกเสียดายเมื่อจะให้เงินออกจากกระเป๋าของเรา ลืมไปหรือเปล่าเงินนั้นมาจากไหนๆๆๆ

เราใช้ริสกีของอัลลอฮ์อย่างไร จำได้มั๊ยค่ะ อะไรบ้างที่เป็นของเรา เสื้อผ้าที่เราใส่จนขาดแล้วต้องทิ้ง อาหารที่กินเข้าไปแล้วถ่ายออกมา แล้วก็ อิบาดะที่ถวายให้อัลลอฮ์ไปแล้ว
เคยคิดมั๊ยจะไปอะลัมบัซซัดเมื่อไร วินาทีนี้ นาทีหน้า ชม.หน้า คืนนี้ พรุ่งนี้ เดือนหน้า อินชาอัลลอฮ์ แล้วจะห่วงไว้ทำไม

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ใครกัน....อันศอร

أنصار - อันศอรฺ คือ ผู้ช่วยเหลือตามประวัติศาสตร์อิสลามชาวเมืองยัธริบ (มะดีนะฮฺ) เมื่อเข้ารับอิสลามแล้วจึงเรียกว่าเป็น “ชาวอันศอร”ซึ่งหมายถึงการที่คนกลุ่มนี้ให้ความช่วยเหลือและสสงเคราะห์มุสลิมที่อพยพมาจากเมืองมะกกะฮฺ (มุฮาญิรีน) แต่

เดิมเมืองมาดีนะฮมีชื่อว่า ยัษริบ เป็นเมืองของชนชาวอาหรับสองเผ่า คือ อันอูชและอันอัชชริด ทั้งสองเผ่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่โดนยุแหย่โดยชาวยิวทำให้พี่น้องต้องทำสงครามกันเป็นเวลากว่าสี่สิบปี

ชาวอันศอร ช่วยเหลือใคร เขาเป็นผู้ช่วยเหลือนบมีมูฮัมหมัด ซอลฯ เรื่องราวก็เป็นประมาณนี้ ในช่วงที่นบีเผยแพร่สัจธรรมต่อชาวมักกะในช่วง 10 ปีแรกมี ผู้เข้าศาสนาไม่มากนักและชาวกุรเรชกดดันและรังแกมุสลิมจนไม่สามารถปฏิบัตศาสนะกิจได้

อย่างสะดวก ในช่วงนั้นนบีต้องใช้ความอดทนในการเผยแพร่และดำรงศาสนากิจเพราะชาวกรุเรชกั้นแกล้งและทำร้ายท่านนบีอยู่ตลอดเวลา
จากเวปคลังปัญญาไทยระบุรายละเอียดว่า ปีที่ 11 ชาวมะดีนะหฺ 6 คน เข้าพบท่าน
ศาสดาเพื่อขอรับอิสลาม ต่อมาในปีที่ 12 ชาวมะดีนะหฺ 12 คน เข้าพบท่านศาสดา และได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านด้วยสนธิสัญญาที่เรียกว่า “ สนธิสัญญาอัลอะเกาะบะฮฺฉบับแรก ” ในสนธิสัญญานี้พวกเขาตกลงกันที่จะยึดมั่นในเรื่องเอกภาพของ
พระเจ้าโดยไม่กราบไหว้รูปเคารพ จะไม่ลักขโมย หรือล่วงประเวณี จะไม่ฆ่าลูกๆ ของตน หรือไม่ทำความชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ และจะต้องยอมรับคำบัญชาของพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น พวกผู้แทนจากเมืองยัษริบเหล่านี้ก็ยินดีรับฟังตามเงื่อนไข
ดังกล่าว ในตอนขากลับไปยังเมืองยัษริบนั้น ศาสดามุหัมมัดได้ส่งมุสอับ อิบนุ อุมัยรฺ ไปกับพวกเขาด้วย เพื่อสอนกุรฺอานและหลักคำสอนของอิสลามให้คนเหล่านั้น หลังจากสนธิสัญญานี้แล้ว อิสลามจึงได้เริ่มแพร่หลายไปในเมืองยัษริบอย่างรวดเร็ว
มุสอับอาศัยอยู่กับบรรดามุสลิมของเผ่าเอาสฺ และค็อซร็อจญ์ และได้สอนศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้าและการเปิดเผยสัจธรรมให้พวกเขา จำนวนมุสลิมในเมืองยัษริบได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดือนศักดิ์สิทธิ์หวนกลับมา มุสอับก็เดินทางมายังนครมักกะฮฺและ
รายงานผลความก้าวหน้าในเรื่องพลังอำนาจและการผนึกกำลังของมุสลิมในเมืองมะดีนะฮฺให้ท่านศาสดาฟังและได้แจ้งแก่ท่านด้วยว่าคนเหล่านั้นจะมาทำการแสวงบุญในฤดูกาลนี้เป็นจำนวนมากกว่าที่เคยเป็นมา
และในปีที่ 13 มีชาวมะดีนะหฺ 75 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญา อัลอะกอบะหฺ ครั้งที่ 2ปี ค . ศ . 622 ได้มีจำนวนผู้แสวงบุญจากเมืองยัษริบจำนวนมาก คือบุรุษเจ็ดสิบสามคนและสตรีสองคน เมื่อศาสดามุหัมมัดได้ทราบข่าวนี้ ท่านก็คิดจะทำ

สนธิสัญญาอีกฉบับหนึ่งกับพวกเขาซึ่งนอกจากคำสั่งสอนของอิสลามอย่างสุภาพอ่อนโยนและสอนให้อดทนแล้ว ท่านต้องการทำสัญญาเรียกร้องให้พวกเขาพร้อมที่จะเสียสละในการปกป้องภยันตรายต่างๆ และโต้ตอบการประทุษร้ายและการรุกรานที่

อาจเกิดขึ้นแก่ท่านนบีและชาวมุสลิม ศาสดามุหัมมัดจึงได้ติดต่ออย่างลับ ๆ กับพวกหัวหน้ากลุ่มนั้นและได้ทราบว่าพวกเขาก็เตรียมตัวไว้อย่างดีแล้วที่จะทำงานเช่นนั้น พวกเขาตกลงที่จะไปพบกันที่เขาอัลอะเกาะบะฮฺในตอนกลางคืนของวันที่สองแห่งการแสวงบุญ มุสลิมจากเมืองยัษริบเก็บการนัดพบนั้นไว้เป็นความลับ มิให้แพร่งพรายให้แก่ผู้ไม่ศรัทธาในเผ่าของพวกเขาเอง และชาวกุร็อยซฺทราบ เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็มาพบกับท่านศาสดาตามที่นัดไว้โดยลอบมาในความมืดยามค่ำคืน เมื่อพวกเขา

มาถึงอัลอะเกาะบะฮฺทั้งชายและหญิงก็ขึ้นไปบนภูเขาและรอท่านศาสดาอยู่ที่นั่น
ศาสดามุหัมมัดมาถึงพร้อมด้วยลุงของท่านคืออัลอับบาส บุตร อับดุลมุฏเฏาะลิบ อัลอับบาส ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เปลี่ยนมารับอิสลาม แต่ด้วยความเป็นห่วงหลานชายจึง

ติดตามมาด้วย สัญญาอัลอะเกาะบะฮฺครั้งนี้เรียกว่า “สนธิสัญญาอัลอะเกะบะฮฺครั้งที่สอง ” ข้อความที่สำคัญในสัญญาครั้งนี้คือ กลุ่มตัวแทนจากเมืองยัษริบนี้ สัญญาที่ปกป้องศาสดามุหัมมัด และจะกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับการปกป้องภรรยาและ

ลูกๆ ของพวกเขาเอง การทำสัญญาของพวกยัษริบในครั้งนี้มี อัลบารออฺ อิบนุ มุอฺรูร เป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้ อัลบารออฺ อิบนุ มุอฺรูร เข้ารับอิสลามหลังจากที่มีการทำสนธิสัญญาอะเกาะบะฮฺฉบับแรก

ข่าวนี้เมื่อทราบถึงพวกกุร็อยซฺมักกะฮฺ พวกเขารู้สึกไม่พอใจทันที่ พวกเขาได้พากันมาหาหัวหน้าของเผ่าค็อซร็อจญ์ ณ ที่พัก แต่ฝ่ายมุสลิมก็เงียบเสีย ทำให้พวกกุร็อยซฺไม่สามารถที่จะจับผิดได้ เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ดังนั้นพวกยัษริบจึงรีบกลับ

เมืองก่อนที่พวกกุร็อยซฺจะหาหลักฐานได้ เมื่อพวกกุร็อยซฺรู้ความจริง พวกเขาจึงรีบตามไป แต่ก็ไม่ทัน คงจับได้ชาวยัษริบเพียงคนเดียว คือ สะอฺด์ อิบนุ อุบาดะฮฺ เขาถูกใส่โซ่ตรวนและทรมาน จนกระทั่ง จูเบร อิบนุ มุตอัม อิบนุ อดียะฮฺ

และฮารีษ อิบนุ อุมัยยะฮฺ ต้องไปขอถ่ายตัวเขาด้วยเงินจำนวนหนึ่งเพื่อให้พ้นโทษ
สนธิสัญญาทำให้ท่านนบีมีความหวังและเป็นการเปิดประตูสู่ชัยชนะ ส่วนพวกกุร็อยซฺมีความกลัวและวิตกกังวลเป็นอย่างมาก พวกเขาคิดว่าถ้าขบวนการนี้ยังไม่ถูกทำลาย

อย่างถอนรากถอนโคน อนาคตของพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย ชัยชนะของมุหัมมัดอาจเกิดขึ้น พวกเจาจึงวางแผนใช้มารตราการขั้นเด็ดขาดกับมุหัมมัดและชาวมุสลิม ท่านนบีก็รู้ดีว่าการนองเลือดระหว่างพวกกุร็อยซฺกับชาวมุสลิมเห็นที่จะไม่มีทางหลีก

พ้น ท่านจึงสั่งให้มิตรสหายตลอดจนสาวกของท่านอพยพไปยังเมืองยัษริบ มุสลิมจึงเริ่มอพยพไปทีละคนทีละกลุ่ม บางครั้งก็เป็นกลุ่มเล็กๆ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้พวกกุร็อยซเกิดความสงสัย อย่างไรก็ตามบางคนที่จับได้ ก็ถูกทรมานไป


จากการบรรยายประวัตินบีมูฮัมหมัดของเชคริฎอ ระบุรายละเอียดที่แตกต่างกันนิดหน่อย ว่าในปีที่ 12 ของการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบี ชาวอันศอรประมาณ 20 ได้ไปทำฮัญจ์ก่อนหน้านี้เขาได้ยินข่าวว่ามีชาวกุรเรชประกาศตัวเป็นนบีและนำศาสนามา

เผยแพร่ ชาวอันศอรนั้นสนใจ จังได้ทำการนัดแนะท่านนบีให้ไปพูดคุยที่ภูเขาอะกอบะแถวลำธารมีนา เพื่อให้นบีสอนศาสนาอิสลาม โดยชาวอันศอรได้ยอมรับสัจธรรม และได้ทำได้ให้สัตญาบรรณกับท่านนบีที่จะช่วยเหลือท่านนบี เรียกว่า ไบอะ

ตุลอัลอะกอบะตินอูลลา หรือไบอะ ณ อัล อะกอบะ ครั้งที่หนึ่ง ชาวอันศอรกลุ่มนี้ได้นำศาสนาอิสลามกลับไปเผยแพร่ที่เมืองมาดีนะในเวลาต่อมา
ในปีต่อมา ปีที่ 13 ของการเผยแพร่ของท่านนบี ชาวอันศอร จำนวนกว่า 70 ท่านได้

เดินทางมาทำฮัญจ์อีกครั้งและในครั้งนี้เขาได้ทำการนัดหมายกับท่านนบีเพื่อที่จะวางแผนอันสำคัญ โดยพวกเขาได้เสนอให้ท่านนบีได้ละทิ้งเมืองมักกะและเดินทางไปยังเมืองมาดีนะฮ์เพื่อสร้างอาณาจักรอิสลามที่มาดีนะฮ์ ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลง
ครั้งยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์อิสลามและการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบี ลุงท่านหนึ่งของท่านนบีได้มีความวิตกและมีความเป็นห่วงท่านนบีเป็นอย่างมากได้เดินทางไปกับท่านนบีเพื่อคุยกับชาวอันศอร

ลุงของท่านนบีได้เอยถามชาวอันศอรว่า ถ้าท่านแน่ใจหรือว่าจะช่วยเหลือท่านนบี ท่านแน่ใจว่าจะช่วยเหลือท่านนบีได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าท่านไม่แน่ใจก็ขอให้ท่านปล่อยท่านนบีให้อยู่กับเครือญาติเขาดีกว่า ถ้าไม่ไหวก็ปล่อยท่านนบีอยุ่ทีมักกะต่อไป

ชาวอันศอรคนหนึ่งได้แทรกว่ามาทันทีว่า พวกเรารู้ว่าหากเราให้การช่วยเหลือท่านนบีในครั้งนี้จะเหมือนกับเราประกาศสงครามและต้องต่อสู้กับชาวอาหรับทั้งเกาะอาหรับ ชาวอันศอรท่านนี้ถามท่านนบีว่า หากเราพร้อมที่จะเสียสละทั้งชีวิตและทรัพย์สินของ

เรา ถ้าเราป้องกันท่านเหมือนป้องกันท่านเฉกเช่น เราปกป้องชีวิตของเรา และปกป้องภรรยาของเรา เราจะได้อะไรเป็นการตอบแทน ท่านนบีได้ตอบกลับไปว่า ท่านนบีไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีตำแหน่ง และไม่มีการสรรเสริญใดๆๆ จะให้ แต่ท่านนบีมี

สวรรค์ของอัลลอฮ์ให้กับท่านอย่างแน่นอน ชาวอันศอรท่านนั้นได้กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเราขอไม่ทอน เราขอยืนยันว่าเราจะทำหน้าที่ต่อท่านนบีอย่างเต็มที่ เราจะปกป้องและช่วยเหลือท่านในการประกาศสัจธรรมและขอให้ท่านอย่าทอนคำพูดของท่าน

โดยชาวอันศอรได้ทำการให้สัตยาบรรณกับท่านนบี ณ ภูเขาอัลกอบะอีกครั้งหนึ่ง จากการให้สัตบรรณครั้งนี้ชาวอันศอรได้นัดแนะท่านนบีทิ้งเมืองมักกะย้ายไปอยู่ที่เมืองมาดีนะ ท่านนบี เรียกเหตุการณ์นี้ว่า คืนอัลอะกอบะ การให้ไบอะครั้งนี้ทำให้มี

การเริ่มฮิจจาเราะและการเริ่มปีแห่งการฮิจจาเราะห์ หรือ ฮิจจาเราะศักราช หลังจากนี้เหล่าซอฮาบะท่านนบีได้เริ่มทยอยอพยพจากมักกะไปยังนครมาดีนะฮ์ ซอฮาบะท่านแรกที่ทำการอพยพคือ ท่านอบูซัยลามะ

เมื่อชาวมุสลิมได้อพยพจากนครมักกะไปยังเมืองมาดีนะ ชาวอันศอรได้ต้อนรับชาวมุสลิมอย่างพี่น้องกัน

เมื่อท่านศาสดาได้มาอยู่ที่เมืองยัษริบแล้ว เมืองนั้นก็ได้รับขนานนามใหม่เป็นมะดีนะตุนนะบี หรือเมืองแห่งศาสดา ภาระกิจแรกที่ท่านศาสดาทำที่เมืองนี้ก็คือสร้างมัสญิดขึ้นหนึ่งหลังซึ่งท่านได้ลงมือทำงานเองเหมือนกรรมกรคนหนึ่ง มัสญิดหลังนี้เป็น

สถานที่ทำการละหมาดและศูนย์ร่วมการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม
ในสมัยนั้น มะดีนะฮฺประกอบด้วยกลุ่มคน เผ่าพันธ์หลายกลุ่มด้วยกัน นอกจากเผ่าเอาสฺ และค็อซร็อจญ์แล้ว ยังมีเผ่าพันธ์พวกยิวจำนวนหนึ่ง เช่น เผ่าก็อยนุกออฺ

เผ่ากูรอยเซาะฮฺ เผ่านะฎีร และเผ่าค็อยบัร ท่านนบีรู้ดีว่าความหลากหลายในเผ่าพันธ์นั้น อาจสร้างความวุนวายเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างชาวยิวคงไม่ยิ่งดีนักที่เห็นความสำเร็จของศาสนาอิสลาม เพราะชาวยิวมักจะพูดเสมอว่าตนเป็นประชาชาติที่

พระเจ้าทรงคัดเลือกและมีความประเสริฐกว่าประชาชาติอื่นๆ ในโลก ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ท่านนบีได้รีบสร้างความเป็นปึกแผ่นเป็นอันหนึ่งเดียวกันในหมู่มุสลิม โดยใช้ศาสนาเป็นตัวกระตุ้น สร้างความเป็นเอกภาพและภารดรภาพเกิดขึ้นในสังคมมุสลิม

มะดีนะฮฺ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชาวมุสลิมที่อพยพมากมักกะฮฺ หรือที่เรียกว่า กลุ่มมุฮาญิรีน ซึ่งเป็นผู้ลี้ภัย และชาวมุสลิมพื้นเมือง หรือที่เรียกว่า กลุ่มอันศอร ซึ่งเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ



ชาวอันศอรนอกจากช่วยเหลือในยามคับขันแล้ว คนเหล่านี้ยังเสียสละเงินทอง จัดหาบ้านเรือนและทรัพย์สมบัติให้แก่ชาวมุฮาญิรีน ความเป็นพี่น้องระหว่างชาวมุฮาญิรีนกับชาวอันศอรนั้นได้เป็นไปอย่างลึกซึ้ง กระทั่งยอมหย่าภรรยาตนเองเพื่อมอบให้แก่

ชาวมุฮาญิรีน และสามารถรับมรดกของกันและกันได้เวลาคนหนึ่งคนใดสิ้นชีวิตไป เมื่ออิสลามเจริญรุ่งเรืองขึ้นจนเป็นกลุ่มอำนาจที่เป็นเอกเทศแยกออกไป บรรดาผู้ที่ถือรูปเคารพทั้งหลายที่ยังไม่รับอิสลามต่างก็พากันอิจฉาริษยา มีบางคนที่ทำที่เป็น

เข้ารับอิสลามแต่ภายในนั้นตั้งใจที่จะต่อต้านท่านศาสดาอยู่อย่างลับ ๆ พวกนี้เรียกว่าพวกมุนาฟิกูน หรือพวกหน้าไหว้หลังหลอก ขาดความจริงใจ คนเหล่านี้เป็นคนที่มีอันตรายมากยิ่งกว่าศัตรูที่เปิดเผยเสียอีก ส่วนชาวยิวในมะดีนะฮฺนั้นเป็นอีกรูปแบบ

หนึ่ง กล่าวคือตอนแรกพวกเขาร่วมกันกับชาวมะดีนะฮฺในการต้อนรับท่านศาสดาเป็นอันดี ทั้งนี้พวกเขาหวังที่จะชักชวนท่านศาสดามาเข้าเป็นพวกของตน แต่เมื่อภายหลังได้พบว่าพวกเขาไม่อาจจะทำได้ พวกเขาจึงค่อย ๆ ถอนความช่วยเหลือออกไปทีละน้อย ๆ และได้กลายเป็นศัตรูของอิสลามไปในที่สุด

อัลกรุอ่านและฮาดีษกล่าวถึงชาวอันศอรไว้อย่างไร

(8:74) แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และอพยพและต่อสู้ทั้งด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขา (ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และชีวิตของพวกเขาในทางของอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่
ให้ที่พักอาศัย และช่วยเหลือนั้น (ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) ชนเหล่านี้แหละคือบางส่วนของพวกเขาย่อมเป็นผู้ช่วยเหลืออีกบางส่วน

อายะกรุอ่าน (9:100) บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ (ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ (ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจ

ในพระองค์ด้วย และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่างพวกเขาจะพำนัก อยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง

อายะกรุอ่าน (59:9) และบรรดาผู้ได้ัตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นครมะดีนะฮ์(ชาวอันศอร) และพวกเขาศรัทธาก่อนหน้า การอพยพของพวกเขา พวกเขารักใคร่ผู้ที่อพยพมายังเขา(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และจะไม่พบความต้องการหรือความอิจฉาในทรวง

อกของพวกเขาในสิ่งที่ได้ถูกประทานให้ และให้สิทธิผู้อื่นก่อนตัวของพวกเขาเอง ถึงแม่ว่าพวกเขายังมีความต้องการอยู่มาก็ตาม และู้ผู้ใดปกป้องการตระหนี่ที่อยู่ในตัวของเขา ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จ (ชาวอันศอร)

ตักซีฟ นักเีรียนเก่าอาหรับได้อธิบายอายะนี้ว่า ชาวอันศอรที่ศรัทธาก่อนหน้าการอพยำของพวกมูฮาญิรีนจากมักกะฮ์ พวกเขารักใคร่พี่น้องชาวมุฮาญิรีนและปลอบใจพวกเขาด้วยการให้ทรัพย์สินและที่พัก ชาวอันศอรเหล่านั้นมิได้มีความโกธรหรืออิจฉาใน

สิ่งที่ได้แบ่งสรรให้ชาวมูฮาณิรีนเลย พวกเขาพอใจที่จะให้สิทธิแก่ผู้อื่นก่อนตัวของพวกเขาเอง ถึงแม้ว่าพวกเขามีความต้องการและยากจนอย่ก็ตาม อันนี้นับได้ว่าเป็นการเสียสละอย่างสูง อัลลออ์จึงได้กล่าวชมเชยชาวอันศอรไว้ ณ ที่นี้

คำัสัญญาสำหรับชาวมุฮาญิรีน ชาวอันศอร และผู้ดำเนินตาม
อิหม่าม อิบนิ กะษีร เจ้าของตัฟซีรชื่อดังแห่งศตวรรษได้อธิบายเกี่ยวกับอายะฮฺนี้ว่า่อัลลอฮฺ ซบ. กล่าวว่า พระองค์ทรงพอพระทัยในรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ (ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยในการศรัทธา โดยที่พวกเขาได้รับความโปรดปรานจากพระองคฺ์ ในการที่พระองค์เตรียมสรวงสวรรค์ อัชชะอฺบีย กล่าวว่า [وَالسَّـبِقُونَ الاٌّوَّلُونَ مِنَ الْمُهَـجِرِينَ وَالأَنْصَـرِ] บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ
คือบรรดาผู้ที่ให้คำสัตญาบันในสนธิสัญญา อัร ริดวาน ในปีแห่งฮุดัยบิยะฮฺ
อบูมูซาอัลอัชอารีย์ สอีด บิน อัลมุซัยยิบ มุฮัมมัด บินสิรีน กล่าวว่า พวกเขาคือผู้ที่ปฏิบัติการละหมาดไปสู่กิบละฮฺทั้งสองพร้อมกับท่านรอซูลรุลลอฮฺ(กิบละฮฺแรก คือ เยรูซาเล็ม และต่อมาคือ กะอฺบะฮฺ)
อัลออฮฺ ซบ. ประกาศว่าพระองค์โปรดปรานบรรดาบรรพชนรุ่นแรกในผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ (ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดี ดังนั้นความหายนะจงประสบแก่บรรดาผู้ที่เกลียดและให้ร้ายพวกเขา
อัลลอฮฺ ซบ ได้กล่าวถึงประเภทของผู้ศรัทธา เป็นชาวมุฮาญิรีนผู้ซึ่งทิ้งบ้านเรือนของพวกเขา อพยพเพื่อช่วยเหลือ อัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ในการดำรงศาสนาของพระองค์ ด้วยกับทรัพย์สมบัติและเลือดเนื้อของพวกเขา และชาวอันศอร มุสลิม

ชาวมะดีนะฮฺ ผู้ซึ่งต้อนรับการลี้ภัยของพี่น้องชาวมุฮาญิรีนในบ้านของพวกเขา และช่วยเหลือด้วยทรัพย์สิน พวกเขายังช่วยหลืออัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ ด้วยการต่อสู้เคียงชาวมุญาฮิรีน
อัลลอฮฺ ซบ. ได้กล่าวถึงพวกเขาว่า ในอีกอายะฮฺ (9:117) อัลลอฮฺ ซบ. กล่าวว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอภัยโทษให้แก่ท่านนบี ชาวมุฮาญิรีและชาวอันศอรแล้ว ซึ่งเขาเหล่านั้นได้ปฏิบัติตามเขา(นบี) ในยามคับขัน (
ชาวอันศอร์
หะดิสที่ :3798 กีตาปมะนากีบุลอันศอร์ หนังสือ ศอฮีฮุลบุคอรีย์
จากท่านอบีฮรัยเราะห์ รอดิยัลลอฮุอันฮุ: “ มีชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลัม (เพื่อเป็นแขกค้างแรม)และท่านนบีก็สั่งไห้เขาไปหาบรรดาภรรยา

ของท่าน(เพื่อถามพวกนางถึงการรับแขก)และบรรดาภรรยาของท่านนบีก็ตอบไปว่าพวกเราไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำ…และท่านนบีก็กล่าวกล่าวว่า”ใครรับแขกของฉันนี้บ้าง ?และชาวอันศอรคนนึงได้กล่าวขึ้นว่า ฉันเองท่านนบี..และชายคนนี้ได้ดินไปไป

ยังภรรยาของเขาพร้อมกับแขกคนนั้น และเขาก็กล่าวกับภรรยาของเขาว่า :เธอจงไห้เกรียรติเขาคนนี้นะเพราะเขาคือแขกของท่านรอซู้ล ซ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมอละภรรยาก็ได้กล่าวกับสามีว่า เราไม่มีอะไรเรยนอกจากอาหารที่เราเตรียมไว้ไห้สำหรับ

ลูกๆของเรา สามีได้ยินจึงกล่าวว่า:เธอจงเตรียมสำรับอาหารแล้วก็จุดตะเกียง แล้วก็เทอจงทำไห้เด็กๆหลับเสียเมื่อเขา( แขกที่มาพัก)ต้องการรับประทานอาหารเย็น และนางก็ได้ตระเตรียมอาหารและก็จุดตระเกียง และก็กล่อมเด็กๆไห้หลับ และต่อมานาง

ก็ลุกขึ้นทำทีท่าว่าจะซ่อมแซมแก้ไขตะเกียงแล้วนางก็ทำไห้ตระเกียงดับแล้วทั่งสองคนสามีภรรยาทำทีว่าว่ากำลังกินอาหารเพื่อไห้แขกได้เห็นว่าเขาทั้งสองกำลังกินกันอยู่ และเขาทั้งสองนอนหลับในคืนนั้นในสภาพที่ไม่มีอาหารเย็นตกถึงท้องเลย และ

เมื่อถึงเวลาเช้าของทั้งสองก้ได้ไปหาท่านรอซุ้ลแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไห้ฟัง..ท่านนีบได้ยินได้ยินดังนั้นก็กล่าว่า “อัลลอฮได้ยิ้ม (หมายถึงพอใจ) กับการกระทำของท่านทั้งสองเมื่อคืนนี้ และอัลกรุอาลก็ได้ถุกประทานลงมาว่า“และไห้สิทธิผู้อื่นผู้อื่นก่อนตัว

ของพวกเขาเอง ถึงแม้ว่าพวกเขายังมีความต้องการอยู่มากก็ตามและผู้ใดปกป้องการตระหนี่ที่อยู่ในตัวของเขา ชนเหลั้นแหละคือผู้ประสบ ความสำเร็จ” อัลฮัชรุ อายะห์ที่เก้า

และในหะดิสที่ :3780 กีตาปมะนากีบุลอันศอร์ บาปอิคออินนบีบัยนัลมุฮาญิรีนวัลอัลศอร์ ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับความเสียสละของชาวอันศอร์ที่ชื่อว่าซะอฺบินรอเบียอฺต่อชาวมุฮาญีรีนที่ชื่อว่า อับดุลเราะห์มานบินเอาวฟฺโดยเมื่อครั้นที่เขาอพยกจากมักกะห์

สู่มะดียะห์ โดยการเสียสละมองทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งพร้อมกับยกภรรยาโดยการหย่าไห้กับศอฮาบะห์ท่านนี้หากว่าเขาต้องการ แต่อับดุลเราะห์บินเอาวฟฺก็ปติเสธที่จะรับสิ่งดังกล่าวว่าพร้อมกล่าวชมเชยต่อซะอฺบินรอเบียอฺในคุณงานความดีของเขา

หลังจากนั้นอับดุรเระห์มานบินเอาวฟฺก็ได้ถามซะอฺบินรอเบียอฺถึงหนทางไปตลาดแล้วเขาก็เดินทางไปตลาดแล้วทำการค้าขายจนมีผลกำไรแล้วก็ได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวอันศอร


เหตุการณ์เกี่ยวกับชาวอันศอรที่แสนจะสะเทือนใจ

เมื่อครั้งสงครามพิชิตเมืองมักกะ ชาวอันศอรและมูฮาฮิรีนหนึ่งหมื่นคน ได้เดินทางไปทำสงครามกับชาวกุเรชที่เมืองมักกะเนื่องจาก ชาวกุเรชได้ผิดสัญญาสงบศึก ชัยชนะที่ฝ่ายมุสลิมได้รับต่อชาวมักกะฮฺในครั้งนี้ นำความปลาบปลื้มปิติยินดีมาสู่พวกมุสลิม

เป็นอย่างมาก สิบปีที่พวกเขาได้อพยพไปในครั้งนั้นได้กลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาอย่างอบอุ่น ศาสดาได้พำนักอยู่ที่มักกะฮฺเป็นเวลาช่วงหนึ่ง ชาวมักกะฮฺต่างก็พากันเข้ามารับนับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก เมื่อชาวมักกะฮฺเข้ารับ

อิสลามความขุ่นข้องหมองใจระหว่างกันก็หมดหายไป ถึงแม้ว่าท่านศาสดาและบรรดาสาวกของท่านจะถูกกดขี่ข่มเหงมาตลอดเวลาสิบปีโดยพวกกุร็อยช์ก็ตามแต่ เมื่อท่านเอาชนะได้ท่านก็แสดงแต่ความเมตตาและอภัยโทษให้แก่พวกเขา การ

ประนีประนอมเช่นนี้เป็นนโยบายของท่านศาสดาตลอดมา และการพิชิตมักกะฮฺได้นี้ เป็นการเปิดศักราชใหม่ของอิสลาม

หลังจากพิชิตเมืองมักกะได้แล้วก็เกิด สงครามหุนัยน์และฎออีฟ คนที่ออกสงครามรวมกับท่านนบี ประมาณหมื่นสองพันคน คือ หมื่นคนคือชาวอันศอร และ สองพันกว่าคนคือชาวมักกะที่เพิ่งเข้ารับอิสลามยังมีอิหม่านไม่มั่นคง เมื่อนบีได้ชนะสงคราม

หลังจากเพลียงพล้ำให้กับศัตรูอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อชนะสงครามนบีได้ทำการแบ่งทรัพย์เชลย โดยในครั้งนั้นนบีได้แบ่งทรัพย์เชลยให้กับพวกเข้ารับอิสลามใหม่อย่างมากมายเพื่อให้เขาสนิทสนมกับอิสลามมากขึ้นกลับกันพวกชาวอันศอรนั้นไม่ได้ส่วน

แบ่งใดๆๆ เลย ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ชาวอันศอร จนกระทั่งผู้ใหญ่ท่านหนึ่งของชาวอันศอรได้มาหาท่านนบีแล้วเล่าเรื่องที่ชาวอันศอรรู้สึกน้อยใจให้กับท่านนบีฟัง นบีได้ทำการเรียกชาวอันศรมาชุมนุมเพื่อปราศัย

โดยท่านนบีได้ให้คำปราศัยว่า...โอ้ชาวอันศอรเอย พวกเจ้าลืมหรือว่าพวกเจ้าในอดีตเคยเป็นแต่ละเผ่าที่แตกแยกกันและใครกันทำให้พวกท่านเป็นบึกแผ่นเป็นกลุ่มดียวกันได้
ชาวอันศอรตอบว่า.... ก็ท่านนะสิท่านนบี
นบีเลยพูดต่อไปว่า....พวกเจ้าลืมเหรอ ว่าในอดีดพวกเจ้าอยู่ในความมืด เจ้าเป็นกาเฟร และใครเป็นคนนำอิสลามและนำแสงสว่างมาให้พวกเจ้า

ชาวอันศอรตอบว่า... ก็ท่านนั้นแหละท่านนบี และเป็็นบุญคุณของท่าน
ท่านนบีเลยพูดต่อไปว่า....แล้วพวกเจ้าตอบฉันไม่ได้หรือ....พวกเจ้่าตอบฉันไม่เป็นหรือ

พวกอันศอรตอบว่า....ท่านจะให้เราตอบ..ท่านจะให้เราตอบว่าอะไร
ท่านบีพูดต่อไปว่า....ตอบสิฉันสิว่าฉันอพยพมาจากมัักกะ กับอะบูบักรเพียงแค่สองคน ด้วยสภาำพอย่างตกต่ำ แต่พวกเจ้าเปิดบ้านของพวกเจ้าให้กับฉัน

พวกเจ้าช่วยเหลือฉัน ในขณะที่มนุษย์ทั้งโลกนั้นปฏิเสธฉัน ไม่ศรัทธาในตัวฉัน ปฏิเสธความเป็นนบีของฉัน แต่พวกเจ้า...เชื่อฉัน...พวกเจ้ายอมรับฉัน พวกเจ้า่ตอบอย่างนี้สิ...ว่ามนุษย์พวกนั้นไ้ด้เอาเศษเสี้ยวหนึ่งของดุนยาไปและพวกเจ้าติดใจหรือๆ

....ท่านติดใจกับเศษเสี้ยวของดุนยาแค่นี้หรือ เขานำดุนยาไป แต่เจ้า...ได้นบีมูฮันหมัดกลับบ้านไปด้วยกับพวกเจ้า...พวกเจ้ายังติดใจหรือ
ถ้าหากฉันไม่ได้เป็นชาวอันศอร....ฉันจะขอดุอาห์จากอัลลอฮ์ขอให้ฉันเป็นชาวอันศอร
ถ้ามนุษย์ทั้งมวลเดินไปทางหนึ่ง...แล้วชาวอันศอรเดินไปอีกทางหนึ่ง...แน่นอนฉันเดินตามชาวอันศอร
ชาวอันศอรเปรียบเหมือนเสื้อชั้นใน...และมนุษย์ทั้งหลายเป็นเสื้อชั้นนอกที่สามารถเปลี่ยนได้บ่อยๆๆไม่เหมือนเสื้อชั้นใน

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ชาวอันศอรทั้งเริ่มร้องไห้กันเสียงดังแล้วตอบท่านนบีว่า...โอ้ท่านนบี
พวกเราพึ่งพอใจแล้ว...เราได้กำไรแล้ว
ท่านนบีกล่าวว่า....ท่านอย่าเสียใจ....ท่านอย่าเสียใจเพราะ ถ้าฉันเสียชีวิตไปแล้ว

มนุษย์ทั้งหลายก็จะไปเห็นพวกท่าน...พวกท่านก็จะเป็นอย่างนี้...จะมีคนห่วงทรัพย์สินไม่ให้พวกเจ้า
ท่านนบีเคยกล่าวกับชาวอันศอรว่า...”ขอให้ท่านจงอดทน…เพราะหลังจากฉันจากไป

ฉันกลัวว่าท่านจะลำบาก…จะไม่มีใครช่วยเหลือ…หรือนึกถึงท่าน….แต่ขอให้ท่านจงอดทน...ขอให้ท่านจดอดทน…จนกว่าจะไปพบฉัน…ที่บ่อน้ำของฉัน…ในวันกียามัต”
ท่านนบีได้กล่าวดุอาห์ต่ออัลลอฮ์ว่า “โอ้อัลลอฮ์จงเมตตาชาวอันศอร ลูกของชาวอันศอรและหลานของชาวอันศอร”

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับชาวอันศอร ชาวอันศอรจำได้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาได้สัญญากับท่านนบี ว่าจะเขาจะช่วยปกป้องศาสนาของท่านเพื่อสิ่งแลกเปลี่ยนเพียงสิ่งเดี่ยวที่ท่านนบีได้สัญญาไว้กับพวกเขาก็คือ...สวรรค์ของอัลลอฮ์ พวกเขาพอใจ เขาได้กล่าว

ว่า พวกเราไม่ถอยแล้วและนบีอย่าถอนคำพูดแล้วพวกเราจะไม่ถอนเช่นกัน เขาเพื่อศาสนาของอัลลอฮ์เพื่ออะไร เขาทำเพื่อหวังความเมตตาและความพอใจจากอัลลอฮ์และรอซูลเพียงเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะบรรยายถึงความประเสริฐของชาวอันศอร

เหตุการณ์หลังจากพิชิตเมืองมักกะแล้วท่านนบีก็ไม่เลือกที่อยู่ที่เมืองมักกะที่เป็นบ้านเกิดของท่านเพราะอะไร ก็เพียงเพราะท่านนบีได้รักษาสัญญา...สัญญาที่ครั้งหนึ่งท่านได้ให้กับชาวอันศอร ท่านนบีจึงเลือกกลับไปอยู่ที่มาดีนะฮ์กับพี่น้องของท่าน..... ชาวอันศอร

ข้อคิดและบทเรียนจากชาวอันศอร

1. ชาวอันศอรได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำงานศาสนาและทุ่มเททุกอย่างเพื่ออัล อิสลาม
2. ชาวอันศอรสละทุกสิ่งทุกอย่างในดุนยานี้ เพื่ออะไร...เพื่ออาคีเราะห์แล้วเราละ

3. ชาวอันศอรช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมที่อพยพมาจากมักกะ โดยไม่ห่วง พวกเราละ มองซ้ายมองขวา พี่น้องของเราต้องการความช่วยเหลือบ้างมั๊ยและเราช่วยเหลือเขาหรือยัง

4. ชาวอันศอรสอนให้เรารู้ว่า จะทำอะไรเพื่อศาสนานั้นอย่าไปหวังอะไรเป็นการตอบแทนไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ตำแหน่ง และคำเยินยอ


ผู้เขีัยนฟังเรื่องของชาวอันศอรจากการบรรยายของเชคริฏอในหัวข้อชีวประวัตท่านนบีมูฮันหมัดขอสารภาพว่าเป็นคนบ่อน้ำตาตื้นมากๆ เขียนบทความนี้ฟังบรรยายของเชคหลายรอบและต้องเสียน้ำตาทุกๆรอบเพราะนับถือน้ำใจชาวอันศอรจัง...ทำไมทำได้ขนาดนั้น...ทำไม

แล้วคุณละ....คุณตกหลุมรักชาวอันศอรแล้วหรือยัง
แล้วเมื่อรู้จักพวกเขาแล้ว คุณคิดจะทำอะไรให้กับอิสลามที่เป็นที่รักของอัลลอฮ์ นบี และชาวอันศอรบ้าง

อ้างอิง
การบรรยายของเชคริฎอ เรื่องชีิวประวัติท่านนบีมูฮัมหมัด
เวปภูมิปัญญาไทย และ
http://www.cis.psu.ac.th/fathoni/lesson/muhummud/index.htm

http://abu-rijaal.spaces.live.com/blog/cns!EAC7C8FF1B7EAA0C!254.entry
ขอขอบคุณคอยรุนดีน ณ จอร์แดน เอื้อเฟื้อฮาดีษชาวอันศอร
ขอบอบคุณซาลาฟี ณ หาดราไว ทำให้นึกถึงฮาดีษได้หนึ่งต้น

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อะไร และ อย่างไร

วันนี้ตั้งหัวข้อเรื่องเป็นคำถาม เพราะประเด็นและความคิด ได้มาจากคำถามที่ว่า ทำไมเราชอบถามกันจัง
ทิกเกอร์ หรือตัวกระตุ้นต่อมสมองให้ทำงานเริ่มจากการไปเวปต่างๆ สื่อต่างๆ ตามเคาน์เตอร์ซุปเปอร์มาเก็ต แมกกาซีนของผู้หญิง ในแมกกาซีนไร้สาระทั้งหลายมักจะใช้คำสองคนำนี้ทั้งไทยและอังกฤษเพื่อนจับสายตาคนให้ซื้อแมคกาซีน ในเวปไซด์คำถามและกระทู้ส่วนใหญ่ก็จะเต็มได้ด้วยคำสองคำนี้ อาจจะแย่ไปกว่านั้นคือถ้าว่า อะไร? หรือ What? ที่ขัดหูขัดตาอย่างมากมายหลายๆครั้งรู้สึกขัดใจ เมื่อส่ง เวป หรือลิงก์ต่างๆ ไปให้พี่น้องได้อ่านแล้วคำถามมันกลับมากว่า เวปเกี่ยวกับอะไร ถามว่า อะไร ทำไมไม่ไปเปิดดูเลยละน้อง ให้พี่เล่าแล้วพี่จะส่งไปให้หนูอ่านทำไม ขัดใจอย่างแรง ในตอนนี้คือในเวปผู้จัดการ มาตั้งโพสว่า “จะพอใจตัวเองอย่างไร” เฮ้ย อะไรกันจะรักตัวเองยังต้องมาถามอีกเหรอ ไปตายสะเถอะ อยู่ไปรกโลก มีแต่น้ำหนักและปริมาตรและไม่มีความคิดเอาสะเลย

และ ทบทวนว่าตัวเองทำอะไรวันๆหนึ่งส่วนตัวแล้วตัวเองก็๋ชอบถามชอบบ่นกับอาจารย์ว่า ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เวลาจะเขียนวิทยานิพนธ์ก็ไปบ่นกับผู้ช่วยด้านภาษาว่า จะเขียนอย่างไร ทำอย่างไร เขาก็เอื่้อมอยุ่เหมือนกัน เขาบอกว่าถ้าถือไม่ลงมือเขียนก็ไม่รุ้หรอกว่าต้องแนะนำเธออย่างไร
ซึ่งรู้สึกตัวเองบกพร่อง ทำวิจัยแล้วต้องมาถามว่าทำอย่างไร

แล้วประเด็นนี้มันก็โผล่ขึ้นมา
ทำไมคำถาม ว่า อะไร (What) และ ทำอย่างไร?(How?) นี้มันฮิตขนาดนี้ ทั้งๆที่ มันเป็นคำถามเบื้องต้นและเหมือนจะง่าย หากเราค้นคว้าและหาความรู้ ซึ่งอยู่ในระดับที่แย่กว่าถามว่า ทำอย่างไร เพราะยังไม่รู้เลยว่า มันคืออะไร


ที่นี้กลับมาดูสิ่งใกล้ตัว และตัวตนของเรา กับคำถามเกี่ยวกับคำว่า มุสลิม
เราเป็นมุสลิม คงไม่ต้องถามใครๆ แล้ว
ว่ามุสลิมคืออะไร ถามตัวเองสิเรายังต้องตอบตัวเองอยู่หรือเปล่าว่า
“มุสลิม”
มุสลิมคืออะไร เราหรือเปล่าที่อึ้งเวลาต้องหาคำตอบว่า
มุสลิมคืออะไร อิสลามคืออะไรเมื่อต้องตอบคำถามชาวบ้าน อันนี้ยิ่งสลด เกิดมาเป็นมุสลิม เลือกจะเป็นมุสลิมแต่ตอบตัวเอง
ไม่ได้ว่ามันคืออะไร
คำตอบ
อิสลามคือ ศาสนาของอัลลอฮ์ที่สักการะพระเจ้าเพียงองค์เดียว และมีศาสดาชื่อมูฮัมหมัด ซอลลัลลออ์ฮูอลัยฮิวสลาม รู้กรอบของอิสลามในกรุอ่านและฮาดีษ หลักอากีดะ และ หลักปฏิบัติตามหนังสือสามารถตอบคำถามตรงนี้ได้ อิสลามมีหน้าที่ปกครองและควบคุมชิวีตของมุสลิมตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ตื่นนอนจน ตาย


มุสลิมคือ มนุษย์ที่นับถือศาสนาอิสลาม และรักษาสิทธิของส่วนต่างๆ อย่าสมบูรณ์
สิทธิของอัลลอฮ์ มีสองส่วนคือ ส่วนของอากีดะห์ และ ส่วนของอิบาดะ มุสลิมต้องตักวา

คำถามมาอีกละตักวาคืออะไร และ ตักว่าอย่างไร โอ๊ยขอใช้ภาษาเหนือเพราะว่าได้ใจมาก เจ็บหัว

1. ตักวาเป็นศัพท์อาหรับ มักจะได้ยินเสมอในคุตบะฮ์วันศุกร์ ตักวอัลลอฮ์ พี่น้องทั้งหลายขอเตือนตัวของผมเองและพี่น้องจงเกรงกลัวอัลลอฮ์เถิด
อ้อ.... ตักว่าแปลว่ายำเกรง
มีคนถามท่านอุมัร ว่า คำว่าตักว่าหมายความว่าอย่างไร ได้รายงานว่า ตักวาคือ ชายคนหนึ่งเดินอยู๋บนหนทางใด้ทางหนึ่ง และ หนทางนั้นก็มีขวากหนามที่จะบาดเท้าตัวเอง และเขาก็เดินบนเส้นทางนั้นด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้หนามไม่มาตำเท้าของตัวเอง อุมัรบอกว่านี้แหละความยำเกรง
เราอยู่ในดุนยานี้อย่ามีสติและระมัดระวัง เดินตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮ์ลและหลีกเลี่ยงจากการฝ่าฝืน
ตัวอย่างการฝ่าฝืนบนโลกดุนยา คื ยิบลิสเมื่อฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์ที่อัลลอฮ์สั่งให้สญูดต่อนบีอาดัม
อายะกุรอ่าน
อัลลอฮ์ได้กล่าวในกรุอ่านว่าแท้จริงบ่วงบ่าวของฉันเอย ชัยตอนไม่มีอำนาจเหนือลูกหลานอาดัม ยกเว้นบุคคลที่เลือกที่จะตามชัยตอน ถ้าเราถูกล่อล่วงจากชัยตอรแล้วเราสามารถรอดจากการล่อล่วงขอชัยตอนอาจจะเรียกได้ว่าเรามีตักว่า ยำเกรง หรืออีหม่านหมั่น อ้างอิง.03/08/50 เรื่อง "ความยำเกรง (อัตตักวา)”
สุเราะห์ อัลฮัชรฺอายะที่ 18 “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทเอ๋ย พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮเถิดอละทุกชีวิตจงพิจารณาดูว่าอะไรบ้างที่ตรได้เตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ (วันกียามัตฺ) และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด แท้จริงนั้นอัลลอฮ์ทรงรู้ยิ่งในสิ่งที่เจ้ากระทำ” (อัลกุรอ่านแปลไทย ของนักเรียนเก่าอาหรับ)
นบีบอกว่า ความตักว่าอยู่ที่นี้ แล้วท่านก็ชี้ไปที่หน้าอกของท่าน มันคือหัวใจค่ะ เปล่าว่า ความยำเกรงหรือตักว่าต้องมาจากหัวใจค่ะ สังวรถึงวันอ่าคีเีราะห์แล้วยำเกรงกันเถิด

แล้วทำอย่างไรจึงจะเรียกตักว่า หรือเกรงกลัว ทำอย่างไรมาวิเคราะห์กัน การเกรงกลัวคำนี้อาจจะไม่เหมาะในเนื้อหาทั่วไปแต่เป็นเนื้อหาที่เหมาะสม
ในสถานะการที่เราจะฝ่าฝืนอะไรสักอย่าง เช่นเกรงกลัวบทลงโทษ ทางกฏหมาย การลงโทษของอัลลอฮ์แต่แล้วในเนื้อหาทั่วไปละควรจะแปลว่าไร
อะไร อะไร ถามอีกละ ตักวาอาจจะแปลให้อ่อนลงด้วยความว่าเคารพรัก คือเชื่อฟัง
ได้ยินอาจารยืมูรีดพูดบ่อยๆ เรื่องศาสนานี้ไม่ต้องคิดเชื่ออย่างเดียวไม่ต้องถาม ให้โง่ไปเลยบอกให้เชื่อก็ต้องเชื่ออย่าถาม
เออจริงวุ้ย ก็ในเมื่อทุกอย่างได้บัญญัติแล้วด้วยอัลลอฮ์ที่เราศรัทธาแล้วในความปราดเปรืองของพระองค์ เราเชื่อแล้วว่าอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง
เราเชื่อแล้วว่าอัลลอฮ์ทรงรู้ยิ่ง เราเชื่อว่าอัลลอฮ์ทรงให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา เราเชื่อว่าสิ่งที่เกิดกับเราคือกฏสภาวะการณ์ของพระองค์ แล้วเราจะถามไปทำไมละค่ะ
สรุปอีกที่ ตักว่าคือ ทำในสิงที่อัลลอฮ์ใช้ และหลีกเลี่ยงและปฏิเสธสิ่งที่อัลลออฮ์ทรงสั่งห้าม เข้าใจม่ะคะ

คำถามต่อมาเราถามอยู๋ทุกวันนี้ คือเราถามว่า ต้องเป็นมุสลิมอย่างไร? ถ้า
จะรู้ว่า เราเองบกพร่อง....บกพร่อง...บกพร่อง....บกพร่อง
มาวิเคราะห์กัน บกพร่อง.. คือ คำชม คำด่า หรือคำตำหนิ

มันคือคำตำหนิว่าเราไม่สมบูรณ์ สินค้ามีตำหนิมักจะมีราคาต่ำกว่า หรือบ้างทีเขาก็โยนทิ้ง
แล้วมุสลิมมีตำหนิละ อัลลอฮ์จะทำอะไรกับเราให้ตกต่ำหรือด้อยค่า ให้เราหลงทางและจุดจบคือโยนลงไปในไฟนรกเพื่อชำระความผิด หรือว่าจะฮิดาญะให้เราค้นพบความบกพร่องนั้นเพื่อแก้ไขและเป็นหนึ่งในชาวสวรรค์ที่พวกเราทุกคนก็ปราถนา โอ้อัลลอฮ์ขอพระองค์ให้โอกาสเราแก้ตัวด้วยเทอญ
อ้อ เรามีโอกาสแก้ตัว แล้วๆๆๆๆๆๆ แก้ตัวอย่างไร เมื่อไรเราจะเลิกถามคำนี้นะ
การกลับเนื้อกลับตัว หรือ อัตเตาบะฮุ คือการกลับไปสู่หลักการอันถูกต้องของอัลลอฮและนอบน้อมเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ การเดินตามแนวทางของบรรดานบีและรอซูลรวมถึงคนศอและห การปฏิบัติส่ิงที่เขานำมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนบีสุดท้ายมูฮัมหมัด
เรื่องจำเป็นต้องคำนึงถึงอย่างมากในการเตาบัตคือ การให้เอกภาพหรือเตาฮีดต่ออัลลอฮ เพียงองค์เดียว และปฏิบัติตามท่านศาสดามุฮัมหมัด เพราะสองสิ่งนี้
ถามว่าถ้าหน้าเราวันหนึ่งไปโดนน้ำมันกะเด็นใส่ เจ็บปวด แสบร้อน มีรอยแผลเป็น นั้นเป็นตำหนิหรือเปล่า แล้วศาสนาละสำคัญกว่า เราทำอะไรหรือยัง
เริ่มต้นอ้างอิงจาก หนังสือของเชฏริฎอ ให้เครดิตเชฏหมดเลยนะคะ

ท่านนบีได้กล่าวว่า “และอัลลอฮจะทรงรับการเตาบัตจากผู้ที่เตาบัตตัว” ในกรุอ่านอัลลอฮ ทรงกล่าวว่า”และพวกท่านจงขอนิรโทษจากพระเจ้าของท่าน แล้วจงกลับเนื้อกลับตัวต่อพระองค์ พระองค์จะทรงให้แก่พวกท่านซึ่งปัจจัยไปจนถึงวาระหนึ่งที่กำหนดไว้และพระองค์จะทรงประทานแก่ทุกๆ ผู้ทำความดีซึ่งความีของพวกเขา และหากพวกท่านผินหลังให้ แท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านซึ่งการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่” (11:3)
นอกจากนนี้ ผู้ที่เตาบัตนั้นเป็นผู้หนึ่งในกลุ่มชนที่ประสบความสำเร็จในโลกอาคีเราะ ตามที่อัลลอฮ์ตรัสว่า
“ส่วนผู้ลุแก่โทษและเขาได้ศรัทธาและประกอบความดี บางที่เขาจะอยุ๋ในหมู่ผู้ที่บรรลุความสำเร็จ” (28:67)
อัลกรุุอ่านได้กล่าวถึงการเตาบัตไว้ในหลายประการเช่น
“พวกเขาไม่รู้ดอกหรือว่าแท้จริง อัลลอฮืนั้นทรงรับการสำนึกผิดจากป่วงบ่าวของพระองค์ และทรงรับบรรดาสิ่งที่เป็นท่าน และแท้จริงอัลลอฮ์นั้นคือ ผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (9:104) ใน (ริฏอ) หน้า 23
”ดังนั้นจงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้า และจงขออภัยโทษต่อพระองค์เถิด แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษเสมอ” (110:3) ใน (ริฏอ) หน้า 23
”บรรดาผู้ที่เมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วใดๆ หรือ อยุติธรรมแก่ตัวเองแล้ว พวกเขาก็รำลึกถึงอัลลอฮ แล้วขออภัยในบรรดาความผิดของพวกเขา และใครเล่าที่จะอภัยโทษ บรรดาความผิดทั้งหลายให้ได้ นอกจากอัลลอฮ์ และพวกเขามิได้ดื้อรั้นปฏิบัติในสิ่งที่เขาเคยปฏิบัติมาโดยที่พวกเขารู้กันอยู่” (3:135) ใน (ริฏอ) หน้า 25

เงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์ในการเตาบะฮฺ นักวิชาการอิสลามได้ระบุ
ประกอบด้วย 4 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1. ถอนตัวจากบาปนั้น โดยผู้ที่ต้องการเตาบัตต้องละทิ้งและเลิกการกระทำที่เป็นบาปนันด้วยความเต็มใจของตัวเขาเอง ไม่ว่าบาปนั้นจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
2. ต้องเสียใจกับความผิดในบาปที่ได้กระทำ
3. ต้องตั้งใจอย่างแนวแน่และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่กลับไปกระทำบาปนั้นอีก
4. ต้องปลกพันธนาการตัวเองและรับผิดชอบต่อหนี้หรือสิทธิของผู้อื่นที่ได้ละเมิดไป ถ้าเป็นฮักกุนอาดัม ระหว่างมนุษย์ วายิบต้องไปขออภัยกับเขา ไม่งั้น (พิมพ์ไปขนลุก) ถ้าเป็นฮักกุนลลอฮ์ เช่น ไม่ละหมาด ไม่บวช ทำซินา กินเหล้า สูบบุหรี ต้องขออภัยโทษจากอัลลอฮ์ค่ะ
การปฏิบัติ
ฮาดีษท่านนบี กล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮ์ตะอาลาจะแผ่พระหัตถ์ของพระองค์ตอนกลางคืนเพื่อรับการเตาบัตจากผุ้ที่กระทำบาปในเวลากลางวัน และ จะแผ่พระหัตถ์ของพระองค์ในเวลากลางวันเพื่อรับการเตาบัตจากผู้ที่ทำบาปในเวลากลางคืน จนกระทั้งอาทิตย์ขึ้น”
เวลาที่ประเสริฐในการเตาบัคิคือในละหมาดฟัรฏูู 5 เวลาหรือละหมาดซุนนะต่างๆ และเวลาหลังจากละหมาดศุบหและอัสร จากตรงนี้สามารถระบุวิธีการได้ว่า
การเตาบัตให้ทำในละหมาดไม่ว่าจะฟัฏฏู หรือสุนนะ ได้ทุกเวลาๆๆๆๆๆๆ ทั้งกลางวันและกลางคืนนะคะ ทำด้วยตัวเองไม่ต้องไปบอกชาวบ้านไม่ต้องไปปรึกษาโต๊ะครู หรือใครทั้งนั้น ท่านและอัลลออ์ ก็เพียงพอแล้ว

เวลาที่อัลลอฮ์ไม่รับการรับเตาบัต
ฮาดีษบันทึกโดยอัตติรมีซี “ท่านนบีกว่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์จะรับการเตาบัตของบ่าวทุกกาลเวลา เว้นแต่ในสภาำพที่วิญญาณใกล้ออกจากร่าง” ใน (ริฏอ) หน้า 26

ผู้เขียนเสริมจากความทรงจำ อีกเวลาหนึ่ง ก็คือ เมื่อพระอาิทิตย์ึขึ้นทางทิศตะวันตก ซึ่งการเตาบัตใดๆๆ ก็ไม่มีผล อันนี้จำไม่ได้ว่ามาจากฮาดีษหรือกรุอ่าน หวังว่าจะไม่ใช่พรุ่งนี้เช้านะ เด็กๆ รีับไปเตาบัตกันสะดีๆๆ

อิหม่ามบุคคอลี บันทึกว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า “แท่จริงเมื่อบ่าวได้สำนึกและสารภาพในความผิดแล้วและทำการเตาบัตตัว อัลลอฮจะทรงรับการเตาบัตนั้น”

อัลลอฮ์สั่งเราไว้ว่า อย่าเพิ่งตายจนกว่าจะเป็นมุสลิมที่สมบูรณ์ เราพร้อมที่จะตายหรือยัง และเราสมบุูรณ์หรือยัง

แล้วต้องเป็นมุสลิมอย่างไรละ กลับมาไปอ่านข้างบนว่า มุสลิมคืออะไรและต้องเป็นมุสลิมอ่ย่างไรข้างบนนะคะ ^_^ อาจจะยังไม่ละเอียดอินชาอัลลอฮ์ ไว้โอกาสต่อไป เรามาคุยกันเรื่องนี้อีกที


ชีวิตหนึ่งเราอาจจะฝ่าฝืนในเรื่องเดิมๆ ที่เคยเตาบัตไปแล้ว อย่าหมดหวัง ให้เตาบัตต่อไปแต่ ให้ถือคำแนะนำนี้ในการใ้ห้โอกาสตัวเองในการสำึนึกผิดเท่านั้น อย่างใช้เป็นข้ออ้างในการทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

หากสนใจศึกษาเพิ่มเติมแนะนำให้ไปฟัง
“2547-08-06 มุสลิมสมบูรณ์ (ลาดกระบัง) ของเชคริฏอ”
“2547-08-07 มุสลิมสมบูรณ์ (ลาดกระบัง) ของเชคริฏอ”
“2549-09-16 มุสลิมที่น่ารัก (โีรงแรมรีเจนท์) ของเชคริฏอ”
“คุฏบะฮฺ วันศุกร์ ที่ 03/08/50 เรื่อง "ความยำเกรง (อัตตักวา) เวป อ.มูรีด”
(ริฏอ) หมายถึงอ้างอิงจากหนังสือ การเตาบัตตามบัญญัติอิสลาม ของเชฏริฎอ เดี่ยวจะไป สแกนแล้วส่งให้ฮันเอาขึ้นเวปให้นะ

ต่อไปนี้คือ
ทำอย่างไรให้ไม่ต้องถามว่า อะไรและอย่างไร
หาความรู้ คำเดียวจบ หาความรู้ในทุกแบบ ฟัง อ่าน จากตำรา กรุอ่าน ฮาดีษ บรรยายจากอาจารย์ต่างที่อยู๋ในแนวอัลสุนนะวันญามาอะและกิตาบบุลลอฮ์
ไปจริงๆละ
วัสลามุลัยกุมวาเราะมาตุลลอฮิ วาบารอกาตุ

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อดทนไว้นะ อยากให้รู้ว่ายังมีคนร้องไห้เป็นเพื่อนเธอ

วันนี้ต้องเดินทางกว่าสองร้อยกิโลมาพักต่างเมือง เพื่อการศึกษามหาวิทยาลัยจองโรงแรมให้หนึ่งคืนแต่ว่าต้องเติมน้ำมันขับรถมาเองแต่อัลฮัมดุลิละห์เป็นคนชอบขับรถไม่เป็นไร
ระหว่างทางโหลดไฟล์บรรยายของเชคมาเป็นเพื่อนรวมทาง
หัวข้อที่ฟังและเสียน้ำตากับมันเรื่องแรกคือ อากีดะห์ การศรัทธาต่อคัมภีร์ เล่าให้ฟังคราวๆนะคะ ว่าเชคพูดว่าอะไร
อยากให้พี่น้องได้ไปหาฟังเพราะฟังแล้วต้องรู้สึกค่ะ ถ้ายังมีอีหม่านอยู่ในใจและทบทวนตัวเองตามที่เชคบรรยาย
เชคบอกว่าหรือว่ามุสลิมจะแค่รู้ว่าอัลกุรอ่านเป็นคัมภีร์ แต่เราทำตัวเหมือนคนไม่มีคัมภีร์ คือคัมภีร์กรุอ่านไม่มีผลอะไรกับความรุ้สึกและการกระทำของเราเลย
มุสลิมไม่รู้ความหมายกรุอ่าน และไม่เอากรุอ่านมาใช้ในชีวิตของเขาน่าเสียใจสะนี้กะไร
เชคเล่าว่า มุสลิมเหมือนเด็กกำพร้า... กำพร้าคัมภีร์ มีสัจธรรมมีความจริงอยู่ในมือแต่ไม่สนใจละเลย
ลองตรวจสอบกันดู
พี่น้องจำเหตุการณ์ตอนนบีฮิจาเราะฮ์จากมักกะ ไปมาดีนะ กับอบูบัร ได้มั๊ยค่ะที่นี้ลองทบทวนสิงที่เกิดในตอนนั้น
ใครบ้างที่มีความรู้ในเรื่องนี้ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นนบีและอบูบัรเข้าไปหลบในถ้ำและอัลลอฮ์ได้บรรดาลให้แมงมุมมาชักใยหน้าถ้ำ และมีนกพิราบมาสร้างรังและออกไข่ไว้หน้าถ้ำ ใครรู้เรื่องนี้บ้าง
ถ้าคุณรับรู้เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของประวัตินบีมูฮัมหมัด ขอแสดงความดีใจด้วยว่า ท่าน....................................
ท่าน..............................
ท่าน..............................
ถูกหลอก :P :P :P :P :P :P :P :P :P 5555555555555555555555555555555
ท่านกำพร้าคัมภีร์ค่ะ เพราะว่าเรื่องราวที่เพิ่งบรรยายไปข้างต้นนั้นเป้นนิยายปรัมปรามากจา หนังสือบาราเฏาะ ที่เขาอ่านกันในงานเมาลิดและมาจากหนังประวัตินบีมูฮัมหมัด แต่ไม่ได้มาจากอัลกรุอ่านค่ะ เศร้ามั๊ยเอย แปลว่าเราเรียนรู้ประวัตินบีจากหนังและนิยายค่ะเศร้าม่ะละ
แต่ที่เศร้าไปกว่านั้นคือเชคได้นำเอาฮาดีษเกี่ยวกับสัญญาณวันกียามัตและจากกรุอ่านมาเสนอว่า...
ใกล้วันกียามัต อัลลอฮ์จะยีดกรุอ่านกลับไปยังพระองค์ ลองคิดดูสิวันนี้ เรามีกรุอ่านในกี่รูปแบบทั้งไฟล์เสียง ในเวป เป็นเล่ม เป็นซีดี มีทั้งตัวกรุอ่านและความหมายของกรุอ่าน
ผู้เขียนเองยังรุ้สึกผิดที่ยังอ่านกรุอ่านไม่เป็นเลย ตัวอาหรับก็ยังจำไม่ได้เพราะว่าช่างยุ่งกับดุนยาเสียนี้กระไร อ่านความหมายกรุอ่านได้จบไปเพียงจบเดียวใช้เวลากว่า สองปี แต่ทำไม อ่านภาษาอังกฤษได้ อ่านเอกสารวิชาการประกอบการเรียนได้เป็นพันเป็นหมื่นหน้า ภาษาก็ต่างภาษาเหมือนกัน อ่านแฮรี่พอตเตอร์ได้ครบทุกเล่มทั่งสองภาษา อ่านหนังสือประกอบการเรียนและการสอนมาน่าจะมากกว่าร้อยเล่มแล้วแต่ทำไมช่างละเลยกรุอ่านขนาดนี้ แล้วพี่น้องละคะ ที่อ่านภาษาอาหรับได้ อ่านไทยก็ได้ อ่านมาลายูก็ได้ อ่านกรุอ่านหรือยังค่ะวันนี้ แล้วหลังจากอ่านแล้วกรุอ่านได้ถูกใช้เป็นฮูดาในชีวิตเรามากน้อยแค่ไหน หรือว่าเราจะกำพร้ากรุอ่านจริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เศร้าเรื่องที่หนึ่งจบไปพร้อมการเสียน้ำตา

ทำไมศอฮาบะถึงเข้มแข็ง เขาก็คนเหมือนกับเรา ทำไมอีหม่านเขาแข็งแรงกันนักทำไมเมื่ออัลลอฮ์สั่งในญีฮาด เขาสละชีวิตกันได้
แต่ทำไม เราคนเหมือนกันเกิดหลังพวกเขาพันกว่าปี มีทุกอย่างสะดวกทุกอย่างวิทยาการไปไกลจะทำอะไรก็ง่ายกว่า แต่ทำไมเราอ่อนแอ
ทำไมเค่สิ่งเล็กๆ น้อยที่กรุอ่านบอกให้ทำให้ละหมาด ให้ซะกาต ให้ญิฮาดแค่กับตัวเอง ก็ยังทำไมได้ อย่าว่าเอาชีวิตไปสละเพื่ออิสลามเลย
แค่เงินจะซอฏอเกาะ ยังออกจากกระเป๋าบางคนไม่ได้
ขับรถสองชม.ครึ่ง เพราะเหยียบร้อยนิด มาตลอดทางก็มาถึงมหาวิทยาลัยเนื่องจากเป็นวันทำงาน(เรียน) เลยไปอยู่ที่ห้องสมุดและยืมหูฟังมาฟังบรรยายต่อระหว่างนั้นก็ไปหอบหนังสือมาค้นมาอ้างอิงงานเขียนสะหน่อย
ก็บังเอิญไปเจอคุตบะฮ์ของเชค เรื่องพี่น้องที่ปาเลสไตน์ ไม่ผิดหวังเลยที่ได้ฟัง อีหม่านโดนปลุกอีกครั้ง ทำไมเราเป็นอย่างนี้นะ
ในคุตบะฮ์นี้ เชคพูดถึงสถานการณ์ของพี่น้องในปาเลสไตน์ และโยงมาถึงความเป็นไปของพี่น้องชาวไทยของเราต่อสถานการณ์นี้ เชคได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ที่ทำให้เราต้องนั่งร้องไห้หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องสมุด และคนรอบๆ ก็ได้แต่มองด้วยความแปลกใจมันร้องอะไรของมันหว่า
เรืองที่เชคเรามันบีบหัวใจเหลือเกินๆจะห้ามไม่ร้องจริงๆ ก็เป็นคนร้องไห้เก่งอยู่แล้วอ่ะนะ แต่คราวนี้มันไม่ใช่แค่ร้องแต่มันเสียใจอ่ะ
เชคเล่าว่า จากเหตุกการณ์ที่ปาเลสไตน์ กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้ออกเรี่ยรายเงินเพื่อส่งไปช่วยพี่น้องที่ปาเลสไตน์ ยอดเงินถึงวันนั้นได้สี่แสนกว่าบาท จากมุสลิมเป็นล้านๆ กับเงินสี่แสน อาจจะบอกได้ว่าตัวเงินไม่สำคัญแต่ว่าคิดสิค่ะว่า พี่น้องปาเลสไตน์ไม่เหลืออะไรนอกจากอัลลออฮ์ เขามีบ้านอยู่มั๊ย เขามีอาหารกินมั๊ย สี่แสนจะพอมั๊ย แต่ยังไงก็ตามเขาได้ผลบุญแต่พวกเรากำลังโดนพี่น้องปาเลสไตน์ที่ถูกกระทำ ขอดุอาห์ให้อัลลอฮ์ลงโทษเราอยู่หรือเปล่า
เชคบอกว่ามีครุคนหนึ่งในโรงเรียนมุสลิมในจังหวัดสงขลา เอาเรื่องพี่น้องที่ปาเลสไตน์ไปเล่าให้นักเรียนฟังและขอให้นักเรียนบริจาคเงินเพื่อเอาไปสมทบกับกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ แล้วเรื่องราวบาดใจก็ออกจากคำบรรยายของเชค
เชคเล่าว่า พี่น้องทางภาคใต้ก็จนกันอยู่แล้วเทียบกับที่อื่นแล้วยิ่งเด็กนักเรียนยิ่งแย่เขาไปอีก
มีน้องสาวคนหนึ่งขออัลลอฮ์ช่วยตอบแทนความดีงามของน้องที่ทำให้พี่ได้เสียใจและสำนึกบ้างนะคะ
น้องคนนี้ ไม่มีสตางค์ค่ะ ไม่มีเงินจะไปช่วยพี่น้องของเธอที่ปาเลสไตน์ แต่เธอได้ทำบ้างอย่างที่น่ายกย่องเหลือเกิน เธอคิดว่าทำยังไงเธอจะสามารถช่วยพี่น้องของเธอได้ เธอจึงได้นำของใช้ส่วนตัวของเธอเช่น ฮีอาบและของเล่นของเธอไปมอบให้ครูแล้วบอกครูให้เพื่อนๆ ประมูลของๆเธอเพื่อเธอจะได้มีเงินไปช่วยพี่น้องที่ปาเลสไตน์ น้องสาวจ๋าพี่อยู๋รุ้จักน้องสาวจังทำไมน้องน่ารักอย่างนี้ (พิมพ์ก็ยังร้องอีก รอบสอง) เชคบอกว่าครูได้เงินรวมทั้งโรงเรียนมาพันนิดๆ แต่อัลลอฮ์น่าจะพอพระทัยความพยายามของพวกเขาเรานั้นแน่ๆ
แล้วเราละ มีสตางค์ในกระเป๋าเท่าไรแล้วบริจาคไปเท่าไร

ไม่รู้ว่าตัวเองคิดยังไงทำไมถึงได้อินกับพี่น้องมุสลิมมากมายขนาดนี้ ทำไมรู้สึกเหมือนเราเจ็บด้วย และรุ้สึกเหมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ต้องช่วย แม้ว่าจะช่วยไม่ได้มาก หรือแม้จะช่วยไปแล้วก็ยังรุ้สึกอยู่เสมอว่ามันยังไม่พอ... ทำไมเราบกพร่องทำไมเราบอกว่าเราทำไปแล้ว ก็น่าจะเยอะแล้วนะ แต่เราก้ยังมีเงินซื้อโทรศัพท์ใหม่ ไปกินซูชิ............ ทำไมเป็นคนแบบนี้ เราช่างติดกับดุนยามากอย่างนี้เชียวหรือ แล้วอัลลออ์จะพอพระทัยเราได้อย่างไร ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนบีถึงบอกคนส่วนมากจะอยู่ในนรก แต่ก็ยังหวังว่าอัลลอฮ์จะเมตตาอนุญาติให้บ่าวของพระองค์คนนี้เข้าสวรรค์และยกโทษให้ความผิดของข้าพระองค์และให้ข้าพระองค์ห่างไกลจากนรกของพระองค์ด้วยเทอญ... ช่วยกันอามีนหน่อยนะ
วัสลาม

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง....มองมุมมุสลิม

อัลฮัมดุลิละห์ ตั้งแต่เกิดการท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ได้มีโอกาสเปิดโลกทัศน์ของผู้เขียนที่ละเล็กละน้อย จากมุมมองของคนพุทธ สู่มุมมองของมุสลิมการท่องเที่ยวและสิ่งที่ได้จากการท่องเที่ยวเปลี่ยนไป

ตอนยังไม่เป็นมุสลิมการท่องเที่ยวขอบเขตกว้างขวางเหลือเกินกิจกรรมที่ทำ เวลาที่ใช้ช่างเปิดกว้าง แต่ก่อนไปเที่ยวต่างถิ่น ต่างจังหวัด ต่างประเทศ เที่ยวตามโปรแกรมเสร็จแล้วกลางคืนก็แอบไปชมแสงสี ของท้องถิ่น บ้างครั้งก็ลองสิ่งเสพติดท้องถิ่นเช่น เหล้า ไวน์ อาหารกินได้ทุกแบบ นอกจากที่แปลกจนเหลือรับ เช่นเนื้อจิงโจ้ เนื้อวอมแบท เนื้อแกะ อันแสนจะฉุนกึก บ้างที่ก็ไปที่อโคจรเช่น บาร์เกย์ คาสิโน และอะไรแปลกๆ เช่นทัวร์ผี เป็นต้น

การเป็นคนไม่รู้จักพระเจ้านั้นทำให้เราไปไหนก็ได้ ทำอะไรตามใครๆ เขาก็ได้ เช่นไปวาติกัน ก็ไปดูโบสถ์คริสต์ไปแอบดูสันตะปาปาเหอๆ พอไปเมืองพุทธก็ไปไหว้รูปปั้นนั้นรูปปั้นนี้ ถามตัวเองหลายครั้งว่าอะไรเอยอยู่ในรูปปั้น ตอบไม่ได้สะที จนถึงวันนี้ ทำไมเขาถึงเชื่อว่ามันศักดิ์สิทธิ์ จนหลายครั้งยังตั้งคำถามชวนงง รูปปั่นชื่อเดี่ยวกัน แต่มีอยู่ในที่ต่างๆ ของโลก อะไรที่อยู่ในนั้นบริหารจัดการยังไงหว่า น่าสงสัย เหอๆๆๆ

เรื่องเวลาไม่ต้องพูดถึง มาตรฐานเวลาทัวร์ 5-6-7 ตื่น ตีห้า กินข้าว 6 โมง ล้อหมุน 7 โมง กลับเข้าที่พักอีกครั้งบางที่ก็เร็วบางที่ก็เกือบเช้า ไปไหนไปนั้นไม่ต้องกังวล

ยังดีที่แต่ละที่ๆได้ไปชื่มชนนั้นจะเป็นธรรมชาติสะเยอะ ได้เห็นสิ่งแปลกๆๆ ธรรมชาติสร้าง คนสร้าง วัฒนธรรม ประเพณี อะไรแปลกตา แปลกใจเยอะแยะ เก็บเกี่ยวเอาสิ่งที่ดีมาเก็บไว้และเอาสิ่งที่เห็นว่าไม่ดีมาเป็นข้อเตือนใจก็ได้หลายอย่างอยู่เหมือนกัน

เที่ยวยุโรป ได้มีโอกาสไปเยื่อนยุโรปประมาณ 10 ประเทศในการทัวร์สามครั้ง ไม่ประทับใจเลยสักครั้งเนื่องด้วยความหนาวทั้งของอากาศและของคนพื้นที่ เราเป็นเอเซียหัวดำๆๆ เขาไม่ค่อยใยดี อาหารไม่ค่อยถูกปาก ยังดีที่กินอาหารฝรั่งได้เป็นบ้างมื้อที่รู้สึกอร่อยแต่ก็ไม่อร่อยเท่าอาหารไทยหรอกนะ บ้านเมืองเขาสะอาดด้วยกฏหมาย คนจึงยอมรวมมือรักษาความสะอาด
ยุโรปตอนเหนือ คนยุโรปมีอุปนิสัยเย็นเหมือนอากาศ ไม่มีไมตรีหยิบยื่นให้ใครทั้งนั้น ไม่ยิ้ม ไม่คุย ไม่เอือ้เฟื้อ ตัวฉันสิทธิของฉัน ทุกอย่างคุยกันด้วยเงินตรา แม้แต่ห้องน้ำสาธารณะก็ต้องหยอดเหรียญกว่าร้อยบาทเพื่อใช้บริการ อากาศดีบริสุทธ์ สถาปัตยกรรมสวยงาม แปลกๆตา แต่พบว่า คนยุโรปออกจากติดวัตถุ จนลืมเรื่องจิตใจ กษัรติย์แต่ละคน ก็โหดร้ายและเห็นประโยชน์ส่วนตน จนบ้างที่ลืมประชาชนตาดำๆๆ และสุดท้ายระบบกษัตริย์ก็ถูกทำลายไปในที่สุด กษัรติย์บางคนทุ่มเทเงินเพื่อความอยากของตัวเอง สร้างปราสาทที่นานๆๆ จะมาใช้สักที ตกแต่งด้วยทองด้วยศิลปะแสนจะแพงแต่สุดท้ายก็ทิ้งไว้เป็นซากเอาไว้ให้คนไปดู แต่นึกอีกทีคนพวกนี้น่าสงสาร เพราะว่าเบื้องหลังการอยู่อย่างแสนจะหรูหรา ห้องนอนของแต่ละคนแสนจะเล็กมีที่หลบซ่อนประตูกลมากมายเพราะคนจะปองร้ายนั้นเอง สิ่งที่คิดว่าเขาดีก็คือเขารักษาเวลาและกฏหมายอย่างเข้มงวด ไม่มีการแซงคิวไม่มีการรอ พลาดแล้วก็ต้องรอกันต่อไป ตกรถไฟ ตกรถบัสกันสนุกสนาน


เที่ยวเอเซีย ไปทั้งเประเทศเพื่อนบ้าน และไกลออกไปอีกหน่อย ประเทศเอเซียมีความหลากหลายสูงมาก อาหาร วัฒนธรรม ความเชื่อ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ เขายึดตัวเองไว้กับความเชื่อทางศาสนาที่แม้จะหลงทางแต่เขาผูกตัวเองไว้กับศาสนาอย่างเหนียวแน่นจนเมื่อเป็นมุสลิมรุ้สึกแย่จังที่คนพวกนี้ยังหลงงมงายกับความเชื่อที่ไม่มาจากพระเจ้า เพียงเพราะมุสลิมอย่างเราๆ ไม่ทำหน้าที่ประชาชาติตัวอย่าง อุมมะของท่านนบีมูฮัมหมัดซอลลัลลอฮ์ฯ

เที่ยวตะวันออกกลาง ไปตะวันออกกลางมาเพียงประเทศเดียวแต่กลิ่นอายของอิสลามที่ได้สัมผัสในตอนนั้นไม่เห็นจะแรงอย่างที่หวังว่าจะเป็นเมือ่ตอนเป็นมุสลิมแล้วเลย มีแต่มัสยิดและเสียงอาซาน เท่านั้นที่สื่อความเป็นอิสลาม ผุ้คนแต่งกายเหมือนมุสลิม แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเพียงเพราะวัฒนธรรมหรือยึดกับหลักการอันนี้ อัลลออ์เท่านั้นทีรู้
เที่ยวแดนจิงโจ้ อันนี้ไม่ได้มาเที่ยวมาเรียนแต่แอบหนีเที่ยวเป็นกิจกรรมเสรืม อัลฮัมดุลิละห์ เป็นมุสลิมแล้วตอนมาที่นี้ ปัญหามีบ้างแต่ปัญหามีไว้แก้นิน่าไม่น่าตกใจหรอก
เริ่มตั้งแต่ จะละหมาดตอนไหน ที่ไหน เป็นมุสลิมต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ละหมาดในสวน ละหมาดที่ที่จอดรถ ละหมาดในห้องเด็กอ่อนตามสถานีรถโดยสาร ละหมาดที่สนามบิน

แต่พอมาเป็นมุสลิมการท่องเที่ยวก็เปลี่ยนไป มองโลกสวยขึ้นด้วยเดชานุภาพของอัลลอฮ์

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เราจะเพิ่มอะไรให้โลกแห่งความรู้

วันนี้อยากคุยเรื่องของการศึกษาและการเพิ่มความรุ้ให้กับโลกแห่งความรุ้
จากประสบการณ์การเรียนที่ผ่านมาในชีวิต พบว่าความรุ้นั้นสามารถแยกออกเป็นได้หลายประเภท ดังนี้
1. ความจริง หรือ Fact อันนี้เป็นความรุ้ที่ตกผลึกและนิ่งแล้ว ยกตัวอย่างเช่น จุดเยือกแข็งของน้ำ คือ 0 องศาเซลเซียส จุดเดือดของน้ำอยู่ที่ 100 องศาอะไรประมาณนั้น คัมภีร์อัลกุรอ่านของเราก็ถือเป็นสัจธรรม เป็นแหล่งที่มาของความรู้ชนิดนี้เช่นเดียวกัน
2. สิ่งที่ได้มาจากการศึกษาเพิ่มเติม โดยเอาความจริงมาประกอบเพื่อก่อให้เกิดกรณีศึกษา ความรู้ประเภทนี้ จะเอาความรู้ในแบบที่หนึ่งมาปรับใช่กับสภาวะอะไรบ้างสภาวะที่ผู้ศึกษานั้นสนใจ และสรุปผลออกมาเป็นความรู้ใหม่ที่เพิ่มเติมองค์ความรู้จากเดิมให้มากขึ้นอีกนิด
3. สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อนเลย ความรู้ประเภทนี้ ค่อนข้างจะหายากเพราะจะต้องเป็นการทำอะไรสักอย่างที่ชาวบ้านชาวช่องยังไม่เคยพูดถึงหรือเคยพบเจอมาก่อน อันนี้ตัวอย่างอาจต้องย้อนไปสักหน่อย อ้างถึง ไอซไตน์แล้วกัน ทฤษฏีสัมพันธ์ภาพ ต้นกำเนิดของปรมนูและนิวเครียร์ ถือเป็นความรู้ประเภทนี้ ซึ่งคนที่จะสร้างความรู้ประเภทนี้ขึ้นมานั้นต้องอาศัยความคิด และความฉลาดที่ไม่เหมือนชาวบ้านเอาสะมาก ไม่แปลกที่ความรู้ประเภทนี้ มักจะได้รับการยกย่องเป็น ผลงานชิ้นเอกของโลก และหลายๆ ความคิดได้รับรางวัลเช่นโนเบิลเป็นต้น

ในฐานะที่เป็นมุสลิม รู้สึกภาคภูมิใจเหลือเกินว่า ความรู้ทุกอย่างที่ยกตัวอย่างและที่อาจจะคาดไม่ถึงไม่ได้ระบุไว้นั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่อยู่นอกเหนือความรุ้ของอัลลอฮ์ของฉันเพราะอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้และคนในดุนยานี้จะรู้อะไรก็รุ้จากความรู้ของพระองค์และไม่มีอะไรที่เขารู้และอยู๋นอกเหนือความรู้ของพระองค์ ภูมิใจๆ

ที่นี้กลับมามองสังคมมุสลิมของเราบ้าง

ในเมืองไทย ในฐานะที่เป็นผู้แสวงหาความรู้ศาสนา เพราะเป็นคนไม่รู้ หลายครั้งหลายคน พยายามหาความรู้ที่อยากจะรู้แต่มักจะไม่เจอ สิ่งที่เขาเรียกว่าความรู้มันช่างหลากหลาย และหลายๆ อย่างก็เป็นความรู้ที่ซ้ำซาก และไม่ได้เพิ่มเติมอะไรให้โลกแห่งความรุ้และตอบสนองความต้องการของคนอยากเรียนรู้หลายๆคนเอาสะเลย
อีกประเด็นคือ มุสลิมเมืองไทย มีนิสัยการเรียนรุ้ที่ค่อนข้างแปลก คือตั้งกรอบของความรู้เอาไว้ว่า ฉันจะรุ้แบบนี้ แล้วถ้าอะไรที่มันอยู๋นอกกรอบความรู้ที่ฉันขีดไว้ฉันก็จะไม่อยากรับรู้ เห็นได้จาก คณะเก่าที่คิดว่าคณะเก่าเป็นสิ่งอื่นที่ไม่เหมือนตน และไม่อยากรับรู้
มุสลิมไทยก็เหมือนคนไทยทั่วไป อ่านน้อย และคิดน้อย ความคิดแบบเป็นตรรกะ ตัดสินผิดถูกนั้นไม่ได้ถูกหล่อหลอมมาในนิสัยของคนไทย เห็นได้ชัดตรงที่ คนไทยอ่านแล้วเชื่อเลย ไม่มีการแย้ง และไม่ค่อยจะถามว่าสิ่งที่อ่านนะจริงหรือมั๊ย เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาเป็นแก่นของการแย้งว่ามันถูกหรือมันผิด

หลายๆ ครั้งรับสื่อที่เขาอ้างว่าเป็นความรู้แล้วดันหาความรู้ไม่เจอ เพราะ หนึ่งคนนำเสนอก็ยังงงตัวเองอยู่ว่า ฉันเป็นใครแล้วฉันจะให้ความรู้กับใคร และความรู้อะไร หรือ สื่อบ้างอันก็เป็นแค่ตัวแปลภาษา จากอังกฤษเป็นไทยเพื่อง่ายต่อการรับรู้ แต่ไม่ได้เพิ่มความรู้อะไรให้กับโลกแห่งความรู้เอาสะเลย