วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ใครกัน....อันศอร

أنصار - อันศอรฺ คือ ผู้ช่วยเหลือตามประวัติศาสตร์อิสลามชาวเมืองยัธริบ (มะดีนะฮฺ) เมื่อเข้ารับอิสลามแล้วจึงเรียกว่าเป็น “ชาวอันศอร”ซึ่งหมายถึงการที่คนกลุ่มนี้ให้ความช่วยเหลือและสสงเคราะห์มุสลิมที่อพยพมาจากเมืองมะกกะฮฺ (มุฮาญิรีน) แต่

เดิมเมืองมาดีนะฮมีชื่อว่า ยัษริบ เป็นเมืองของชนชาวอาหรับสองเผ่า คือ อันอูชและอันอัชชริด ทั้งสองเผ่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่โดนยุแหย่โดยชาวยิวทำให้พี่น้องต้องทำสงครามกันเป็นเวลากว่าสี่สิบปี

ชาวอันศอร ช่วยเหลือใคร เขาเป็นผู้ช่วยเหลือนบมีมูฮัมหมัด ซอลฯ เรื่องราวก็เป็นประมาณนี้ ในช่วงที่นบีเผยแพร่สัจธรรมต่อชาวมักกะในช่วง 10 ปีแรกมี ผู้เข้าศาสนาไม่มากนักและชาวกุรเรชกดดันและรังแกมุสลิมจนไม่สามารถปฏิบัตศาสนะกิจได้

อย่างสะดวก ในช่วงนั้นนบีต้องใช้ความอดทนในการเผยแพร่และดำรงศาสนากิจเพราะชาวกรุเรชกั้นแกล้งและทำร้ายท่านนบีอยู่ตลอดเวลา
จากเวปคลังปัญญาไทยระบุรายละเอียดว่า ปีที่ 11 ชาวมะดีนะหฺ 6 คน เข้าพบท่าน
ศาสดาเพื่อขอรับอิสลาม ต่อมาในปีที่ 12 ชาวมะดีนะหฺ 12 คน เข้าพบท่านศาสดา และได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านด้วยสนธิสัญญาที่เรียกว่า “ สนธิสัญญาอัลอะเกาะบะฮฺฉบับแรก ” ในสนธิสัญญานี้พวกเขาตกลงกันที่จะยึดมั่นในเรื่องเอกภาพของ
พระเจ้าโดยไม่กราบไหว้รูปเคารพ จะไม่ลักขโมย หรือล่วงประเวณี จะไม่ฆ่าลูกๆ ของตน หรือไม่ทำความชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ และจะต้องยอมรับคำบัญชาของพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น พวกผู้แทนจากเมืองยัษริบเหล่านี้ก็ยินดีรับฟังตามเงื่อนไข
ดังกล่าว ในตอนขากลับไปยังเมืองยัษริบนั้น ศาสดามุหัมมัดได้ส่งมุสอับ อิบนุ อุมัยรฺ ไปกับพวกเขาด้วย เพื่อสอนกุรฺอานและหลักคำสอนของอิสลามให้คนเหล่านั้น หลังจากสนธิสัญญานี้แล้ว อิสลามจึงได้เริ่มแพร่หลายไปในเมืองยัษริบอย่างรวดเร็ว
มุสอับอาศัยอยู่กับบรรดามุสลิมของเผ่าเอาสฺ และค็อซร็อจญ์ และได้สอนศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้าและการเปิดเผยสัจธรรมให้พวกเขา จำนวนมุสลิมในเมืองยัษริบได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดือนศักดิ์สิทธิ์หวนกลับมา มุสอับก็เดินทางมายังนครมักกะฮฺและ
รายงานผลความก้าวหน้าในเรื่องพลังอำนาจและการผนึกกำลังของมุสลิมในเมืองมะดีนะฮฺให้ท่านศาสดาฟังและได้แจ้งแก่ท่านด้วยว่าคนเหล่านั้นจะมาทำการแสวงบุญในฤดูกาลนี้เป็นจำนวนมากกว่าที่เคยเป็นมา
และในปีที่ 13 มีชาวมะดีนะหฺ 75 คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อทำสัญญา อัลอะกอบะหฺ ครั้งที่ 2ปี ค . ศ . 622 ได้มีจำนวนผู้แสวงบุญจากเมืองยัษริบจำนวนมาก คือบุรุษเจ็ดสิบสามคนและสตรีสองคน เมื่อศาสดามุหัมมัดได้ทราบข่าวนี้ ท่านก็คิดจะทำ

สนธิสัญญาอีกฉบับหนึ่งกับพวกเขาซึ่งนอกจากคำสั่งสอนของอิสลามอย่างสุภาพอ่อนโยนและสอนให้อดทนแล้ว ท่านต้องการทำสัญญาเรียกร้องให้พวกเขาพร้อมที่จะเสียสละในการปกป้องภยันตรายต่างๆ และโต้ตอบการประทุษร้ายและการรุกรานที่

อาจเกิดขึ้นแก่ท่านนบีและชาวมุสลิม ศาสดามุหัมมัดจึงได้ติดต่ออย่างลับ ๆ กับพวกหัวหน้ากลุ่มนั้นและได้ทราบว่าพวกเขาก็เตรียมตัวไว้อย่างดีแล้วที่จะทำงานเช่นนั้น พวกเขาตกลงที่จะไปพบกันที่เขาอัลอะเกาะบะฮฺในตอนกลางคืนของวันที่สองแห่งการแสวงบุญ มุสลิมจากเมืองยัษริบเก็บการนัดพบนั้นไว้เป็นความลับ มิให้แพร่งพรายให้แก่ผู้ไม่ศรัทธาในเผ่าของพวกเขาเอง และชาวกุร็อยซฺทราบ เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็มาพบกับท่านศาสดาตามที่นัดไว้โดยลอบมาในความมืดยามค่ำคืน เมื่อพวกเขา

มาถึงอัลอะเกาะบะฮฺทั้งชายและหญิงก็ขึ้นไปบนภูเขาและรอท่านศาสดาอยู่ที่นั่น
ศาสดามุหัมมัดมาถึงพร้อมด้วยลุงของท่านคืออัลอับบาส บุตร อับดุลมุฏเฏาะลิบ อัลอับบาส ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เปลี่ยนมารับอิสลาม แต่ด้วยความเป็นห่วงหลานชายจึง

ติดตามมาด้วย สัญญาอัลอะเกาะบะฮฺครั้งนี้เรียกว่า “สนธิสัญญาอัลอะเกะบะฮฺครั้งที่สอง ” ข้อความที่สำคัญในสัญญาครั้งนี้คือ กลุ่มตัวแทนจากเมืองยัษริบนี้ สัญญาที่ปกป้องศาสดามุหัมมัด และจะกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับการปกป้องภรรยาและ

ลูกๆ ของพวกเขาเอง การทำสัญญาของพวกยัษริบในครั้งนี้มี อัลบารออฺ อิบนุ มุอฺรูร เป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้ อัลบารออฺ อิบนุ มุอฺรูร เข้ารับอิสลามหลังจากที่มีการทำสนธิสัญญาอะเกาะบะฮฺฉบับแรก

ข่าวนี้เมื่อทราบถึงพวกกุร็อยซฺมักกะฮฺ พวกเขารู้สึกไม่พอใจทันที่ พวกเขาได้พากันมาหาหัวหน้าของเผ่าค็อซร็อจญ์ ณ ที่พัก แต่ฝ่ายมุสลิมก็เงียบเสีย ทำให้พวกกุร็อยซฺไม่สามารถที่จะจับผิดได้ เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ดังนั้นพวกยัษริบจึงรีบกลับ

เมืองก่อนที่พวกกุร็อยซฺจะหาหลักฐานได้ เมื่อพวกกุร็อยซฺรู้ความจริง พวกเขาจึงรีบตามไป แต่ก็ไม่ทัน คงจับได้ชาวยัษริบเพียงคนเดียว คือ สะอฺด์ อิบนุ อุบาดะฮฺ เขาถูกใส่โซ่ตรวนและทรมาน จนกระทั่ง จูเบร อิบนุ มุตอัม อิบนุ อดียะฮฺ

และฮารีษ อิบนุ อุมัยยะฮฺ ต้องไปขอถ่ายตัวเขาด้วยเงินจำนวนหนึ่งเพื่อให้พ้นโทษ
สนธิสัญญาทำให้ท่านนบีมีความหวังและเป็นการเปิดประตูสู่ชัยชนะ ส่วนพวกกุร็อยซฺมีความกลัวและวิตกกังวลเป็นอย่างมาก พวกเขาคิดว่าถ้าขบวนการนี้ยังไม่ถูกทำลาย

อย่างถอนรากถอนโคน อนาคตของพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย ชัยชนะของมุหัมมัดอาจเกิดขึ้น พวกเจาจึงวางแผนใช้มารตราการขั้นเด็ดขาดกับมุหัมมัดและชาวมุสลิม ท่านนบีก็รู้ดีว่าการนองเลือดระหว่างพวกกุร็อยซฺกับชาวมุสลิมเห็นที่จะไม่มีทางหลีก

พ้น ท่านจึงสั่งให้มิตรสหายตลอดจนสาวกของท่านอพยพไปยังเมืองยัษริบ มุสลิมจึงเริ่มอพยพไปทีละคนทีละกลุ่ม บางครั้งก็เป็นกลุ่มเล็กๆ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้พวกกุร็อยซเกิดความสงสัย อย่างไรก็ตามบางคนที่จับได้ ก็ถูกทรมานไป


จากการบรรยายประวัตินบีมูฮัมหมัดของเชคริฎอ ระบุรายละเอียดที่แตกต่างกันนิดหน่อย ว่าในปีที่ 12 ของการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบี ชาวอันศอรประมาณ 20 ได้ไปทำฮัญจ์ก่อนหน้านี้เขาได้ยินข่าวว่ามีชาวกุรเรชประกาศตัวเป็นนบีและนำศาสนามา

เผยแพร่ ชาวอันศอรนั้นสนใจ จังได้ทำการนัดแนะท่านนบีให้ไปพูดคุยที่ภูเขาอะกอบะแถวลำธารมีนา เพื่อให้นบีสอนศาสนาอิสลาม โดยชาวอันศอรได้ยอมรับสัจธรรม และได้ทำได้ให้สัตญาบรรณกับท่านนบีที่จะช่วยเหลือท่านนบี เรียกว่า ไบอะ

ตุลอัลอะกอบะตินอูลลา หรือไบอะ ณ อัล อะกอบะ ครั้งที่หนึ่ง ชาวอันศอรกลุ่มนี้ได้นำศาสนาอิสลามกลับไปเผยแพร่ที่เมืองมาดีนะในเวลาต่อมา
ในปีต่อมา ปีที่ 13 ของการเผยแพร่ของท่านนบี ชาวอันศอร จำนวนกว่า 70 ท่านได้

เดินทางมาทำฮัญจ์อีกครั้งและในครั้งนี้เขาได้ทำการนัดหมายกับท่านนบีเพื่อที่จะวางแผนอันสำคัญ โดยพวกเขาได้เสนอให้ท่านนบีได้ละทิ้งเมืองมักกะและเดินทางไปยังเมืองมาดีนะฮ์เพื่อสร้างอาณาจักรอิสลามที่มาดีนะฮ์ ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลง
ครั้งยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์อิสลามและการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบี ลุงท่านหนึ่งของท่านนบีได้มีความวิตกและมีความเป็นห่วงท่านนบีเป็นอย่างมากได้เดินทางไปกับท่านนบีเพื่อคุยกับชาวอันศอร

ลุงของท่านนบีได้เอยถามชาวอันศอรว่า ถ้าท่านแน่ใจหรือว่าจะช่วยเหลือท่านนบี ท่านแน่ใจว่าจะช่วยเหลือท่านนบีได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าท่านไม่แน่ใจก็ขอให้ท่านปล่อยท่านนบีให้อยู่กับเครือญาติเขาดีกว่า ถ้าไม่ไหวก็ปล่อยท่านนบีอยุ่ทีมักกะต่อไป

ชาวอันศอรคนหนึ่งได้แทรกว่ามาทันทีว่า พวกเรารู้ว่าหากเราให้การช่วยเหลือท่านนบีในครั้งนี้จะเหมือนกับเราประกาศสงครามและต้องต่อสู้กับชาวอาหรับทั้งเกาะอาหรับ ชาวอันศอรท่านนี้ถามท่านนบีว่า หากเราพร้อมที่จะเสียสละทั้งชีวิตและทรัพย์สินของ

เรา ถ้าเราป้องกันท่านเหมือนป้องกันท่านเฉกเช่น เราปกป้องชีวิตของเรา และปกป้องภรรยาของเรา เราจะได้อะไรเป็นการตอบแทน ท่านนบีได้ตอบกลับไปว่า ท่านนบีไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีตำแหน่ง และไม่มีการสรรเสริญใดๆๆ จะให้ แต่ท่านนบีมี

สวรรค์ของอัลลอฮ์ให้กับท่านอย่างแน่นอน ชาวอันศอรท่านนั้นได้กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเราขอไม่ทอน เราขอยืนยันว่าเราจะทำหน้าที่ต่อท่านนบีอย่างเต็มที่ เราจะปกป้องและช่วยเหลือท่านในการประกาศสัจธรรมและขอให้ท่านอย่าทอนคำพูดของท่าน

โดยชาวอันศอรได้ทำการให้สัตยาบรรณกับท่านนบี ณ ภูเขาอัลกอบะอีกครั้งหนึ่ง จากการให้สัตบรรณครั้งนี้ชาวอันศอรได้นัดแนะท่านนบีทิ้งเมืองมักกะย้ายไปอยู่ที่เมืองมาดีนะ ท่านนบี เรียกเหตุการณ์นี้ว่า คืนอัลอะกอบะ การให้ไบอะครั้งนี้ทำให้มี

การเริ่มฮิจจาเราะและการเริ่มปีแห่งการฮิจจาเราะห์ หรือ ฮิจจาเราะศักราช หลังจากนี้เหล่าซอฮาบะท่านนบีได้เริ่มทยอยอพยพจากมักกะไปยังนครมาดีนะฮ์ ซอฮาบะท่านแรกที่ทำการอพยพคือ ท่านอบูซัยลามะ

เมื่อชาวมุสลิมได้อพยพจากนครมักกะไปยังเมืองมาดีนะ ชาวอันศอรได้ต้อนรับชาวมุสลิมอย่างพี่น้องกัน

เมื่อท่านศาสดาได้มาอยู่ที่เมืองยัษริบแล้ว เมืองนั้นก็ได้รับขนานนามใหม่เป็นมะดีนะตุนนะบี หรือเมืองแห่งศาสดา ภาระกิจแรกที่ท่านศาสดาทำที่เมืองนี้ก็คือสร้างมัสญิดขึ้นหนึ่งหลังซึ่งท่านได้ลงมือทำงานเองเหมือนกรรมกรคนหนึ่ง มัสญิดหลังนี้เป็น

สถานที่ทำการละหมาดและศูนย์ร่วมการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม
ในสมัยนั้น มะดีนะฮฺประกอบด้วยกลุ่มคน เผ่าพันธ์หลายกลุ่มด้วยกัน นอกจากเผ่าเอาสฺ และค็อซร็อจญ์แล้ว ยังมีเผ่าพันธ์พวกยิวจำนวนหนึ่ง เช่น เผ่าก็อยนุกออฺ

เผ่ากูรอยเซาะฮฺ เผ่านะฎีร และเผ่าค็อยบัร ท่านนบีรู้ดีว่าความหลากหลายในเผ่าพันธ์นั้น อาจสร้างความวุนวายเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างชาวยิวคงไม่ยิ่งดีนักที่เห็นความสำเร็จของศาสนาอิสลาม เพราะชาวยิวมักจะพูดเสมอว่าตนเป็นประชาชาติที่

พระเจ้าทรงคัดเลือกและมีความประเสริฐกว่าประชาชาติอื่นๆ ในโลก ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ท่านนบีได้รีบสร้างความเป็นปึกแผ่นเป็นอันหนึ่งเดียวกันในหมู่มุสลิม โดยใช้ศาสนาเป็นตัวกระตุ้น สร้างความเป็นเอกภาพและภารดรภาพเกิดขึ้นในสังคมมุสลิม

มะดีนะฮฺ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชาวมุสลิมที่อพยพมากมักกะฮฺ หรือที่เรียกว่า กลุ่มมุฮาญิรีน ซึ่งเป็นผู้ลี้ภัย และชาวมุสลิมพื้นเมือง หรือที่เรียกว่า กลุ่มอันศอร ซึ่งเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ



ชาวอันศอรนอกจากช่วยเหลือในยามคับขันแล้ว คนเหล่านี้ยังเสียสละเงินทอง จัดหาบ้านเรือนและทรัพย์สมบัติให้แก่ชาวมุฮาญิรีน ความเป็นพี่น้องระหว่างชาวมุฮาญิรีนกับชาวอันศอรนั้นได้เป็นไปอย่างลึกซึ้ง กระทั่งยอมหย่าภรรยาตนเองเพื่อมอบให้แก่

ชาวมุฮาญิรีน และสามารถรับมรดกของกันและกันได้เวลาคนหนึ่งคนใดสิ้นชีวิตไป เมื่ออิสลามเจริญรุ่งเรืองขึ้นจนเป็นกลุ่มอำนาจที่เป็นเอกเทศแยกออกไป บรรดาผู้ที่ถือรูปเคารพทั้งหลายที่ยังไม่รับอิสลามต่างก็พากันอิจฉาริษยา มีบางคนที่ทำที่เป็น

เข้ารับอิสลามแต่ภายในนั้นตั้งใจที่จะต่อต้านท่านศาสดาอยู่อย่างลับ ๆ พวกนี้เรียกว่าพวกมุนาฟิกูน หรือพวกหน้าไหว้หลังหลอก ขาดความจริงใจ คนเหล่านี้เป็นคนที่มีอันตรายมากยิ่งกว่าศัตรูที่เปิดเผยเสียอีก ส่วนชาวยิวในมะดีนะฮฺนั้นเป็นอีกรูปแบบ

หนึ่ง กล่าวคือตอนแรกพวกเขาร่วมกันกับชาวมะดีนะฮฺในการต้อนรับท่านศาสดาเป็นอันดี ทั้งนี้พวกเขาหวังที่จะชักชวนท่านศาสดามาเข้าเป็นพวกของตน แต่เมื่อภายหลังได้พบว่าพวกเขาไม่อาจจะทำได้ พวกเขาจึงค่อย ๆ ถอนความช่วยเหลือออกไปทีละน้อย ๆ และได้กลายเป็นศัตรูของอิสลามไปในที่สุด

อัลกรุอ่านและฮาดีษกล่าวถึงชาวอันศอรไว้อย่างไร

(8:74) แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และอพยพและต่อสู้ทั้งด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขา (ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และชีวิตของพวกเขาในทางของอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่
ให้ที่พักอาศัย และช่วยเหลือนั้น (ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) ชนเหล่านี้แหละคือบางส่วนของพวกเขาย่อมเป็นผู้ช่วยเหลืออีกบางส่วน

อายะกรุอ่าน (9:100) บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ (ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ (ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดีนั้น อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยในพวกเขา และพวกเขาก็พอใจ

ในพระองค์ด้วย และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่างพวกเขาจะพำนัก อยู่ในนั้นตลอดกาลนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง

อายะกรุอ่าน (59:9) และบรรดาผู้ได้ัตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นครมะดีนะฮ์(ชาวอันศอร) และพวกเขาศรัทธาก่อนหน้า การอพยพของพวกเขา พวกเขารักใคร่ผู้ที่อพยพมายังเขา(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และจะไม่พบความต้องการหรือความอิจฉาในทรวง

อกของพวกเขาในสิ่งที่ได้ถูกประทานให้ และให้สิทธิผู้อื่นก่อนตัวของพวกเขาเอง ถึงแม่ว่าพวกเขายังมีความต้องการอยู่มาก็ตาม และู้ผู้ใดปกป้องการตระหนี่ที่อยู่ในตัวของเขา ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จ (ชาวอันศอร)

ตักซีฟ นักเีรียนเก่าอาหรับได้อธิบายอายะนี้ว่า ชาวอันศอรที่ศรัทธาก่อนหน้าการอพยำของพวกมูฮาญิรีนจากมักกะฮ์ พวกเขารักใคร่พี่น้องชาวมุฮาญิรีนและปลอบใจพวกเขาด้วยการให้ทรัพย์สินและที่พัก ชาวอันศอรเหล่านั้นมิได้มีความโกธรหรืออิจฉาใน

สิ่งที่ได้แบ่งสรรให้ชาวมูฮาณิรีนเลย พวกเขาพอใจที่จะให้สิทธิแก่ผู้อื่นก่อนตัวของพวกเขาเอง ถึงแม้ว่าพวกเขามีความต้องการและยากจนอย่ก็ตาม อันนี้นับได้ว่าเป็นการเสียสละอย่างสูง อัลลออ์จึงได้กล่าวชมเชยชาวอันศอรไว้ ณ ที่นี้

คำัสัญญาสำหรับชาวมุฮาญิรีน ชาวอันศอร และผู้ดำเนินตาม
อิหม่าม อิบนิ กะษีร เจ้าของตัฟซีรชื่อดังแห่งศตวรรษได้อธิบายเกี่ยวกับอายะฮฺนี้ว่า่อัลลอฮฺ ซบ. กล่าวว่า พระองค์ทรงพอพระทัยในรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ (ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยในการศรัทธา โดยที่พวกเขาได้รับความโปรดปรานจากพระองคฺ์ ในการที่พระองค์เตรียมสรวงสวรรค์ อัชชะอฺบีย กล่าวว่า [وَالسَّـبِقُونَ الاٌّوَّلُونَ مِنَ الْمُهَـجِرِينَ وَالأَنْصَـرِ] บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ
คือบรรดาผู้ที่ให้คำสัตญาบันในสนธิสัญญา อัร ริดวาน ในปีแห่งฮุดัยบิยะฮฺ
อบูมูซาอัลอัชอารีย์ สอีด บิน อัลมุซัยยิบ มุฮัมมัด บินสิรีน กล่าวว่า พวกเขาคือผู้ที่ปฏิบัติการละหมาดไปสู่กิบละฮฺทั้งสองพร้อมกับท่านรอซูลรุลลอฮฺ(กิบละฮฺแรก คือ เยรูซาเล็ม และต่อมาคือ กะอฺบะฮฺ)
อัลออฮฺ ซบ. ประกาศว่าพระองค์โปรดปรานบรรดาบรรพชนรุ่นแรกในผู้อพยพ(ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮ์) และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ (ชาวอันศัอรจากมะดีนะฮ์) และบรรดาผู้ดำเนินตามพวกเขาด้วยการทำดี ดังนั้นความหายนะจงประสบแก่บรรดาผู้ที่เกลียดและให้ร้ายพวกเขา
อัลลอฮฺ ซบ ได้กล่าวถึงประเภทของผู้ศรัทธา เป็นชาวมุฮาญิรีนผู้ซึ่งทิ้งบ้านเรือนของพวกเขา อพยพเพื่อช่วยเหลือ อัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ในการดำรงศาสนาของพระองค์ ด้วยกับทรัพย์สมบัติและเลือดเนื้อของพวกเขา และชาวอันศอร มุสลิม

ชาวมะดีนะฮฺ ผู้ซึ่งต้อนรับการลี้ภัยของพี่น้องชาวมุฮาญิรีนในบ้านของพวกเขา และช่วยเหลือด้วยทรัพย์สิน พวกเขายังช่วยหลืออัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ ด้วยการต่อสู้เคียงชาวมุญาฮิรีน
อัลลอฮฺ ซบ. ได้กล่าวถึงพวกเขาว่า ในอีกอายะฮฺ (9:117) อัลลอฮฺ ซบ. กล่าวว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอภัยโทษให้แก่ท่านนบี ชาวมุฮาญิรีและชาวอันศอรแล้ว ซึ่งเขาเหล่านั้นได้ปฏิบัติตามเขา(นบี) ในยามคับขัน (
ชาวอันศอร์
หะดิสที่ :3798 กีตาปมะนากีบุลอันศอร์ หนังสือ ศอฮีฮุลบุคอรีย์
จากท่านอบีฮรัยเราะห์ รอดิยัลลอฮุอันฮุ: “ มีชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลัม (เพื่อเป็นแขกค้างแรม)และท่านนบีก็สั่งไห้เขาไปหาบรรดาภรรยา

ของท่าน(เพื่อถามพวกนางถึงการรับแขก)และบรรดาภรรยาของท่านนบีก็ตอบไปว่าพวกเราไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำ…และท่านนบีก็กล่าวกล่าวว่า”ใครรับแขกของฉันนี้บ้าง ?และชาวอันศอรคนนึงได้กล่าวขึ้นว่า ฉันเองท่านนบี..และชายคนนี้ได้ดินไปไป

ยังภรรยาของเขาพร้อมกับแขกคนนั้น และเขาก็กล่าวกับภรรยาของเขาว่า :เธอจงไห้เกรียรติเขาคนนี้นะเพราะเขาคือแขกของท่านรอซู้ล ซ็อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมอละภรรยาก็ได้กล่าวกับสามีว่า เราไม่มีอะไรเรยนอกจากอาหารที่เราเตรียมไว้ไห้สำหรับ

ลูกๆของเรา สามีได้ยินจึงกล่าวว่า:เธอจงเตรียมสำรับอาหารแล้วก็จุดตะเกียง แล้วก็เทอจงทำไห้เด็กๆหลับเสียเมื่อเขา( แขกที่มาพัก)ต้องการรับประทานอาหารเย็น และนางก็ได้ตระเตรียมอาหารและก็จุดตระเกียง และก็กล่อมเด็กๆไห้หลับ และต่อมานาง

ก็ลุกขึ้นทำทีท่าว่าจะซ่อมแซมแก้ไขตะเกียงแล้วนางก็ทำไห้ตระเกียงดับแล้วทั่งสองคนสามีภรรยาทำทีว่าว่ากำลังกินอาหารเพื่อไห้แขกได้เห็นว่าเขาทั้งสองกำลังกินกันอยู่ และเขาทั้งสองนอนหลับในคืนนั้นในสภาพที่ไม่มีอาหารเย็นตกถึงท้องเลย และ

เมื่อถึงเวลาเช้าของทั้งสองก้ได้ไปหาท่านรอซุ้ลแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไห้ฟัง..ท่านนีบได้ยินได้ยินดังนั้นก็กล่าว่า “อัลลอฮได้ยิ้ม (หมายถึงพอใจ) กับการกระทำของท่านทั้งสองเมื่อคืนนี้ และอัลกรุอาลก็ได้ถุกประทานลงมาว่า“และไห้สิทธิผู้อื่นผู้อื่นก่อนตัว

ของพวกเขาเอง ถึงแม้ว่าพวกเขายังมีความต้องการอยู่มากก็ตามและผู้ใดปกป้องการตระหนี่ที่อยู่ในตัวของเขา ชนเหลั้นแหละคือผู้ประสบ ความสำเร็จ” อัลฮัชรุ อายะห์ที่เก้า

และในหะดิสที่ :3780 กีตาปมะนากีบุลอันศอร์ บาปอิคออินนบีบัยนัลมุฮาญิรีนวัลอัลศอร์ ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับความเสียสละของชาวอันศอร์ที่ชื่อว่าซะอฺบินรอเบียอฺต่อชาวมุฮาญีรีนที่ชื่อว่า อับดุลเราะห์มานบินเอาวฟฺโดยเมื่อครั้นที่เขาอพยกจากมักกะห์

สู่มะดียะห์ โดยการเสียสละมองทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งพร้อมกับยกภรรยาโดยการหย่าไห้กับศอฮาบะห์ท่านนี้หากว่าเขาต้องการ แต่อับดุลเราะห์บินเอาวฟฺก็ปติเสธที่จะรับสิ่งดังกล่าวว่าพร้อมกล่าวชมเชยต่อซะอฺบินรอเบียอฺในคุณงานความดีของเขา

หลังจากนั้นอับดุรเระห์มานบินเอาวฟฺก็ได้ถามซะอฺบินรอเบียอฺถึงหนทางไปตลาดแล้วเขาก็เดินทางไปตลาดแล้วทำการค้าขายจนมีผลกำไรแล้วก็ได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวอันศอร


เหตุการณ์เกี่ยวกับชาวอันศอรที่แสนจะสะเทือนใจ

เมื่อครั้งสงครามพิชิตเมืองมักกะ ชาวอันศอรและมูฮาฮิรีนหนึ่งหมื่นคน ได้เดินทางไปทำสงครามกับชาวกุเรชที่เมืองมักกะเนื่องจาก ชาวกุเรชได้ผิดสัญญาสงบศึก ชัยชนะที่ฝ่ายมุสลิมได้รับต่อชาวมักกะฮฺในครั้งนี้ นำความปลาบปลื้มปิติยินดีมาสู่พวกมุสลิม

เป็นอย่างมาก สิบปีที่พวกเขาได้อพยพไปในครั้งนั้นได้กลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาอย่างอบอุ่น ศาสดาได้พำนักอยู่ที่มักกะฮฺเป็นเวลาช่วงหนึ่ง ชาวมักกะฮฺต่างก็พากันเข้ามารับนับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก เมื่อชาวมักกะฮฺเข้ารับ

อิสลามความขุ่นข้องหมองใจระหว่างกันก็หมดหายไป ถึงแม้ว่าท่านศาสดาและบรรดาสาวกของท่านจะถูกกดขี่ข่มเหงมาตลอดเวลาสิบปีโดยพวกกุร็อยช์ก็ตามแต่ เมื่อท่านเอาชนะได้ท่านก็แสดงแต่ความเมตตาและอภัยโทษให้แก่พวกเขา การ

ประนีประนอมเช่นนี้เป็นนโยบายของท่านศาสดาตลอดมา และการพิชิตมักกะฮฺได้นี้ เป็นการเปิดศักราชใหม่ของอิสลาม

หลังจากพิชิตเมืองมักกะได้แล้วก็เกิด สงครามหุนัยน์และฎออีฟ คนที่ออกสงครามรวมกับท่านนบี ประมาณหมื่นสองพันคน คือ หมื่นคนคือชาวอันศอร และ สองพันกว่าคนคือชาวมักกะที่เพิ่งเข้ารับอิสลามยังมีอิหม่านไม่มั่นคง เมื่อนบีได้ชนะสงคราม

หลังจากเพลียงพล้ำให้กับศัตรูอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อชนะสงครามนบีได้ทำการแบ่งทรัพย์เชลย โดยในครั้งนั้นนบีได้แบ่งทรัพย์เชลยให้กับพวกเข้ารับอิสลามใหม่อย่างมากมายเพื่อให้เขาสนิทสนมกับอิสลามมากขึ้นกลับกันพวกชาวอันศอรนั้นไม่ได้ส่วน

แบ่งใดๆๆ เลย ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ชาวอันศอร จนกระทั่งผู้ใหญ่ท่านหนึ่งของชาวอันศอรได้มาหาท่านนบีแล้วเล่าเรื่องที่ชาวอันศอรรู้สึกน้อยใจให้กับท่านนบีฟัง นบีได้ทำการเรียกชาวอันศรมาชุมนุมเพื่อปราศัย

โดยท่านนบีได้ให้คำปราศัยว่า...โอ้ชาวอันศอรเอย พวกเจ้าลืมหรือว่าพวกเจ้าในอดีตเคยเป็นแต่ละเผ่าที่แตกแยกกันและใครกันทำให้พวกท่านเป็นบึกแผ่นเป็นกลุ่มดียวกันได้
ชาวอันศอรตอบว่า.... ก็ท่านนะสิท่านนบี
นบีเลยพูดต่อไปว่า....พวกเจ้าลืมเหรอ ว่าในอดีดพวกเจ้าอยู่ในความมืด เจ้าเป็นกาเฟร และใครเป็นคนนำอิสลามและนำแสงสว่างมาให้พวกเจ้า

ชาวอันศอรตอบว่า... ก็ท่านนั้นแหละท่านนบี และเป็็นบุญคุณของท่าน
ท่านนบีเลยพูดต่อไปว่า....แล้วพวกเจ้าตอบฉันไม่ได้หรือ....พวกเจ้่าตอบฉันไม่เป็นหรือ

พวกอันศอรตอบว่า....ท่านจะให้เราตอบ..ท่านจะให้เราตอบว่าอะไร
ท่านบีพูดต่อไปว่า....ตอบสิฉันสิว่าฉันอพยพมาจากมัักกะ กับอะบูบักรเพียงแค่สองคน ด้วยสภาำพอย่างตกต่ำ แต่พวกเจ้าเปิดบ้านของพวกเจ้าให้กับฉัน

พวกเจ้าช่วยเหลือฉัน ในขณะที่มนุษย์ทั้งโลกนั้นปฏิเสธฉัน ไม่ศรัทธาในตัวฉัน ปฏิเสธความเป็นนบีของฉัน แต่พวกเจ้า...เชื่อฉัน...พวกเจ้ายอมรับฉัน พวกเจ้า่ตอบอย่างนี้สิ...ว่ามนุษย์พวกนั้นไ้ด้เอาเศษเสี้ยวหนึ่งของดุนยาไปและพวกเจ้าติดใจหรือๆ

....ท่านติดใจกับเศษเสี้ยวของดุนยาแค่นี้หรือ เขานำดุนยาไป แต่เจ้า...ได้นบีมูฮันหมัดกลับบ้านไปด้วยกับพวกเจ้า...พวกเจ้ายังติดใจหรือ
ถ้าหากฉันไม่ได้เป็นชาวอันศอร....ฉันจะขอดุอาห์จากอัลลอฮ์ขอให้ฉันเป็นชาวอันศอร
ถ้ามนุษย์ทั้งมวลเดินไปทางหนึ่ง...แล้วชาวอันศอรเดินไปอีกทางหนึ่ง...แน่นอนฉันเดินตามชาวอันศอร
ชาวอันศอรเปรียบเหมือนเสื้อชั้นใน...และมนุษย์ทั้งหลายเป็นเสื้อชั้นนอกที่สามารถเปลี่ยนได้บ่อยๆๆไม่เหมือนเสื้อชั้นใน

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ชาวอันศอรทั้งเริ่มร้องไห้กันเสียงดังแล้วตอบท่านนบีว่า...โอ้ท่านนบี
พวกเราพึ่งพอใจแล้ว...เราได้กำไรแล้ว
ท่านนบีกล่าวว่า....ท่านอย่าเสียใจ....ท่านอย่าเสียใจเพราะ ถ้าฉันเสียชีวิตไปแล้ว

มนุษย์ทั้งหลายก็จะไปเห็นพวกท่าน...พวกท่านก็จะเป็นอย่างนี้...จะมีคนห่วงทรัพย์สินไม่ให้พวกเจ้า
ท่านนบีเคยกล่าวกับชาวอันศอรว่า...”ขอให้ท่านจงอดทน…เพราะหลังจากฉันจากไป

ฉันกลัวว่าท่านจะลำบาก…จะไม่มีใครช่วยเหลือ…หรือนึกถึงท่าน….แต่ขอให้ท่านจงอดทน...ขอให้ท่านจดอดทน…จนกว่าจะไปพบฉัน…ที่บ่อน้ำของฉัน…ในวันกียามัต”
ท่านนบีได้กล่าวดุอาห์ต่ออัลลอฮ์ว่า “โอ้อัลลอฮ์จงเมตตาชาวอันศอร ลูกของชาวอันศอรและหลานของชาวอันศอร”

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับชาวอันศอร ชาวอันศอรจำได้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาได้สัญญากับท่านนบี ว่าจะเขาจะช่วยปกป้องศาสนาของท่านเพื่อสิ่งแลกเปลี่ยนเพียงสิ่งเดี่ยวที่ท่านนบีได้สัญญาไว้กับพวกเขาก็คือ...สวรรค์ของอัลลอฮ์ พวกเขาพอใจ เขาได้กล่าว

ว่า พวกเราไม่ถอยแล้วและนบีอย่าถอนคำพูดแล้วพวกเราจะไม่ถอนเช่นกัน เขาเพื่อศาสนาของอัลลอฮ์เพื่ออะไร เขาทำเพื่อหวังความเมตตาและความพอใจจากอัลลอฮ์และรอซูลเพียงเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะบรรยายถึงความประเสริฐของชาวอันศอร

เหตุการณ์หลังจากพิชิตเมืองมักกะแล้วท่านนบีก็ไม่เลือกที่อยู่ที่เมืองมักกะที่เป็นบ้านเกิดของท่านเพราะอะไร ก็เพียงเพราะท่านนบีได้รักษาสัญญา...สัญญาที่ครั้งหนึ่งท่านได้ให้กับชาวอันศอร ท่านนบีจึงเลือกกลับไปอยู่ที่มาดีนะฮ์กับพี่น้องของท่าน..... ชาวอันศอร

ข้อคิดและบทเรียนจากชาวอันศอร

1. ชาวอันศอรได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำงานศาสนาและทุ่มเททุกอย่างเพื่ออัล อิสลาม
2. ชาวอันศอรสละทุกสิ่งทุกอย่างในดุนยานี้ เพื่ออะไร...เพื่ออาคีเราะห์แล้วเราละ

3. ชาวอันศอรช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมที่อพยพมาจากมักกะ โดยไม่ห่วง พวกเราละ มองซ้ายมองขวา พี่น้องของเราต้องการความช่วยเหลือบ้างมั๊ยและเราช่วยเหลือเขาหรือยัง

4. ชาวอันศอรสอนให้เรารู้ว่า จะทำอะไรเพื่อศาสนานั้นอย่าไปหวังอะไรเป็นการตอบแทนไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ตำแหน่ง และคำเยินยอ


ผู้เขีัยนฟังเรื่องของชาวอันศอรจากการบรรยายของเชคริฏอในหัวข้อชีวประวัตท่านนบีมูฮันหมัดขอสารภาพว่าเป็นคนบ่อน้ำตาตื้นมากๆ เขียนบทความนี้ฟังบรรยายของเชคหลายรอบและต้องเสียน้ำตาทุกๆรอบเพราะนับถือน้ำใจชาวอันศอรจัง...ทำไมทำได้ขนาดนั้น...ทำไม

แล้วคุณละ....คุณตกหลุมรักชาวอันศอรแล้วหรือยัง
แล้วเมื่อรู้จักพวกเขาแล้ว คุณคิดจะทำอะไรให้กับอิสลามที่เป็นที่รักของอัลลอฮ์ นบี และชาวอันศอรบ้าง

อ้างอิง
การบรรยายของเชคริฎอ เรื่องชีิวประวัติท่านนบีมูฮัมหมัด
เวปภูมิปัญญาไทย และ
http://www.cis.psu.ac.th/fathoni/lesson/muhummud/index.htm

http://abu-rijaal.spaces.live.com/blog/cns!EAC7C8FF1B7EAA0C!254.entry
ขอขอบคุณคอยรุนดีน ณ จอร์แดน เอื้อเฟื้อฮาดีษชาวอันศอร
ขอบอบคุณซาลาฟี ณ หาดราไว ทำให้นึกถึงฮาดีษได้หนึ่งต้น

2 ความคิดเห็น: